เคยสังเกตกันไหมครับว่า เมื่อตัวเราหรือใครก็ตามกำลังมีความรัก คำคุ้นหูที่มักจะได้ยินบ่อยที่สุดจากการถูกเพื่อนและคนรอบข้างแซว (รวมทั้งตัวเราเองยังใช้แซวคนอื่นด้วย) ก็คือ ‘หวาน’ หรือ ‘sweet’ น่าแปลก ทั้งๆ ที่ความรักไม่ใช่อาหารที่ทำให้ท้องอิ่ม แต่ทำไมจึงถูกยกขึ้นเปรียบเทียบกับรสหวานอยู่เสมอ หรือว่าความรักและความหวานจะไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรยเท่านั้น ในวรรณคดีเรื่อง ‘พระอภัยมณี’ ของสุนทรภู่ และบทประพันธ์เรื่อง ‘นิราศทวาราวดี’...
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เราเขียนบทความเรื่องการสูญเสียคนรัก และได้ยกเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของเพื่อนเราคนหนึ่งที่สูญเสียว่าที่เจ้าบ่าวไปก่อนงานแต่งงานเพียงแค่ 3 เดือน หลังจากบทความนี้ออกมา เราได้ส่งบทความให้เพื่อนอ่าน และได้คุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ หลังจากเหตุการณ์ร้ายนั้นผ่านพ้นไป ทว่าระหว่างคุยกัน นึกขึ้นได้ว่า เราประทับใจโพสต์หนึ่งในเฟซบุ๊กที่เพื่อนเราเขียนถึงแฟนหนุ่มหลังจากแฟนเสียชีวิตไม่กี่วัน เราจำได้ว่า มันเป็นข้อความที่เพื่อนเราพยายามกลั่นความรู้สึกและความทรงจำที่มีต่อชายคนรักออกมาจากหัวใจ แล้วเรารู้สึกประทับใจมาก จนไม่อยากให้มันหยุดอยู่แค่นั้น เลยขอร้องให้เพื่อนช่วยเขียนข้อความนั้นให้อีกครั้ง เพราะเราอยากนำมาแบ่งปันให้ผู้อ่านได้อ่าน...
มองรอยสักที่แขนหมอ บอกตัวเองว่า ฉันต้องตื่นมาเห็นรอยสักของวิสัญญีแพทย์คนนี้อีกครั้ง นั่นเป็นความทรงจำก่อนปิดเปลือกตา ฉันหลับอย่างไม่เคยหลับ ปลุกไม่ตื่น ไม่เจ็บปวด ไร้ซึ่งความฝัน สำหรับฉัน การวางยาสลบต่างจากความตายก็แค่… เรายังหายใจ ฉันไม่เคยถูกทำให้หลับ...
ไม่กี่วันมานี้ จู่ๆ ฉันก็นึกถึงชื่อนักเขียนคนหนึ่งขึ้นมา นักเขียนที่แนะนำคำว่า ‘Positive Thinking’ ให้แก่ชีวิตช่วงวัยเรียนของฉัน งานเขียนของเขาอธิบายความหมายของคำได้กระจ่าง อธิบายด้วยเรื่องเล่าอบอุ่นใจ ด้วยมุมมองอันสว่างไสว ด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่เปรี้ยงกลางใจ ฉลาดเล่าด้วยเข้าใจในชีวิตอย่างลุ่มลึก ฉันจำได้ อ่านหนังสือของเขาทีไรรู้สึกราวกับโลกนี้ไร้เรื่องทุกข์ร้อน หรือแม้จะมีบ้างที่ร้อนก็ผ่อนเป็นเย็นลงได้ง่ายดาย เขาชื่อ โรเบิร์ต ฟูลกัม...
“ชีวิตแต่ละวันของคุณคิมจียองเสมือนอยู่กลางสมรภูมิรบ หากคลายใจนิดเดียวมีหวังคงพลาดเลือดนอง เธอไม่ว่างมากพอจะสังเกตทุกข์สุขของใครอื่น ความเสียใจน้อยใจโรยตัวลงทับถมบนสายสัมพันธ์คนทั้งคู่ ดุจฝุ่นผงบนหลังตู้เย็นหรือชั้นติดผนังห้องน้ำ แม้จะเห็นเต็มสองตา แต่ก็เพียงปล่อยปละ ยอมรับให้เป็นไปเช่นนั้น” ฉันกำลังอ่านหนังสือเรื่อง คิมจียอง เกิดปี 82* อยู่ค่ะ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสมือนเป็นตัวแทนเพศหญิงอีกหลายคนในสังคมเกาหลีใต้ ที่ต้องแบกรับความคาดหวังและความกดดันในหลายสถานะ ทั้งความเป็นลูก เป็นเมีย...
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากได้ของไม่ดี ฉะนั้น หลายคนจึงหาวิธีช่วยให้ตัวเองตัดสินใจเลือกอะไรก็ตามได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับคู่ครอง ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากมาเสียใจทีหลังว่า ตัวเองเลือกคู่ครองผิดคน มันเลยเกิดหลักคิดเรื่องการดูคนเยอะแยะมากมาย เช่น ดูว่าเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนหรือไม่ หรือถ้าเป็นทางพุทธศาสนาก็มีเกณฑ์ 4 ข้อ คือ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เสมอกัน แต่ทีนี้หลายคนอาจมองว่ามันกว้างไปหน่อย อยากได้หลักง่ายๆ...
ฉันขึ้นเครื่องบินไม่บ่อย ทุกครั้ง ฉันไม่เคยง่วง ไม่หลับตา และไม่อ่านหนังสือ ฉันเอาแต่ทอดสายตาออกไปทางช่องหน้าต่างเล็กๆ นั่น หลังสัญญาณรัดเข็มขัดดับ ฉันคิดถึง แซงเตก ซูเปรี เขาเขียนหนังสือด้วยสายตาของนักบิน ทัศนียภาพในการเขียนของเขาจึงแตกต่างจากคนอื่น เป็นหนึ่งเดียว และเป็นที่หนึ่งในใจฉัน ถัดจากนั้น...
“เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นเหมือนฝันร้ายที่จะตามหลอกหลอนคุณไปตลอดชีวิต คุณจะหวาดกลัวการไปสนามบิน หวาดระแวงว่าจะมีระเบิดซ่อนอยู่ไหมทุกครั้งที่มองเห็นกระเป๋า หวาดผวากับแทบทุกสิ่งรอบตัว แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันก็ตาม ฉันยังจำทุกสิ่งได้ดี เสียงผู้คนกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งและควันระเบิดที่พวยพุ่งไปทั่วบริเวณ” ถ้อยคำแฝงความเจ็บปวดของ รีเบกกา เกรเกอรี หนึ่งในนักวิ่งผู้รอดชีวิตแต่ต้องสูญเสียขาไปหนึ่งข้างจากเหตุวินาศกรรม ณ การแข่งขันวิ่งมาราธอนที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งของโลก ‘Boston...
คนเราต่างมีนิสัยไม่ดีที่ตัวเองอยากแก้ไขกันทั้งนั้น ไม่เว้นกระทั่งนิสัยไม่ดีที่เกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ อย่างนิสัยหนึ่งเลยที่หลายคนอยากแก้คือ เลิกรอใครคนหนึ่งให้ได้เสียที เพราะการตกอยู่ในภาวะรอคอยอยู่ร่ำไปมันเป็นการทรมานใจตัวเองอย่างหนึ่งนั่นเอง ทีนี้ ถ้าเกิดคุณตกอยู่ในภาวะรอใครสักคนแบบสิ้นหวังแต่ก็ยังรอ เช่น เขาคนนั้นบอกให้เลิกรอ แต่คุณก็ยังทนรอเขาอยู่ได้ หรือเขาคนคนนั้นหายไปจากชีวิตคุณ แต่คุณก็ยังรอให้เขากลับมา แล้วถ้าวันนี้คุณบอกตัวเองว่า ฉันไม่อยากเจ็บปวดที่ต้องรออีกต่อไปแล้ว มีวิธีการหรือวิธีคิดอะไรบ้างที่ช่วยให้คุณหลุดจากบ่วงนี้ได้สำเร็จ งั้นลองมาอ่านกันดู 01 ต้องมีเป้าหมายในชีวิต เริ่มมาข้อแรก...
เวลาเราอ่านบทความสอนวิธีจีบคนที่ชอบ เราพบว่าส่วนใหญ่เลยคือการแนะนำ ‘วิธีการ’ ไม่ใช่ ‘วิธีคิด’ ถามว่ามันดีไหม? มันก็ดีตรงที่บอกเป็นขั้นตอนเป๊ะๆ แต่มีใครบ้างที่ทำแล้วสำเร็จ? เหตุผลก็เพราะการจีบใครสักคนไม่ใช่สิ่งที่มีสูตรตายตัว คนเราต่างมีบุคลิก สไตล์การสื่อสาร และการเข้าหาคนที่แตกต่างกัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทำแบบนั้นแบบนี้แล้วจะได้ผลเหมือนกันหมด ฉะนั้น เราเลยคิดเสมอว่า ถ้าจะแนะนำวิธีจีบ เราไม่อยากแนะนำเป็นวิธีการ แต่อยากแนะนำเป็น ‘วิธีคิด’...
เป็นกันบ้างไหม เวลาหมดรักใครสักคน หรืออยากตัดใจจากใครคนหนึ่ง คุณจะค่อยๆ เห็นข้อเสียของคนคนนั้นมากขึ้น แบบที่คุณถึงกับต้องถามตัวเองว่า “ทำไมถึงไม่เคยเห็นด้านนี้ของเขามาก่อน หรือฉันมัวแต่คิดอะไรไปเองวะ” จริงๆ ต้องบอกว่า ไม่ใช่คุณที่มองไม่เห็นข้อเสียหรือข้อที่ไม่เหมาะของคนที่แอบชอบมาก่อนหรอก แต่ต้องพูดใหม่ว่า จริงๆ คุณเห็นหรือรับรู้มาตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านั้นหรือตอนที่ชอบคนคนนั้นมากๆ คุณไม่ยอมและไม่อยากจะสนใจข้อมูลด้านลบของเขาต่างหาก เรียกอีกอย่างว่า คุณเลือกที่จะมองข้ามไปนั่นเอง...
ฉันเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็น soaper ใช่! นอกจากเหนือจากเป็นนักเขียน เป็นแม่ครัว เป็นแม่ค้าน้ำพริก เป็นเจ้าของที่พักสามห้อง เป็นช่างแต่งหน้าให้ตัวเอง ฉันยังอยากทำสบู่ ต้องทั้งดีและสวย สวยมาก เลิศเลอเป็นที่ประจักษ์ ...