คุณเคยถูกปล่อยให้รอคอยใครบางคนหรืออะไรบางอย่างไหม? ถ้าเคย คุณคงจะเข้าใจทันทีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะประคองความรู้สึกของตัวเองให้ข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้ เพราะการรอคอยทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเวลาแปรเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นว่ามันช่างยาวนานและเนิบช้าลงกว่าเคย ทั้งๆ ที่เวลายังคงล่วงเลยผ่านไปด้วยความเร็วและจังหวะเท่าเดิม ทำไมการถูกปล่อยให้รอคอยถึงทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น? เวลาในความหมายนี้ จึงไม่ใช่เวลาที่สมมติขึ้นเป็นหน่วยวัดตามหลักฟิสิกส์อย่างที่ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกา (Physical Time) ซึ่งคอยบอกความเที่ยงตรงเป็นวินาที นาที หรือชั่วโมง หากแต่เป็นเวลาที่มีความรู้สึกบางอย่างของเราผูกโยงอยู่ด้วย...
เงี่ยน (ก.) อยากจัด, กระหายจัด, มีความรู้สึกอยากหรือกระหายเป็นกำลัง (โดยมากใช้เฉพาะของเสพติดและกามคุณ) ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคุณจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไปบ้าง หรืออาจถึงขั้นเกิดความรู้สึกลังเลว่าควรอ่านบทความนี้ต่อไปหรือไม่ดี แต่สบายใจได้ และไม่จำเป็นต้องทำท่าทีเคอะเขิน เพราะว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่กระตุ้นเร้าอารมณ์หรือความต้องการทางเพศใดๆ แต่จะทำให้คุณได้รู้และเข้าใจพฤติกรรมและการแสดงออกแปลกๆ จากความใคร่อยากทางเพศของคนที่ถูกตำหนิว่า ‘บ้ากาม’ บ้ากามในที่นี้...
คุณเคยถามตัวเองหรือฉุกคิดถึงอนาคตที่ไม่มีอะไรแน่นอนบ้างไหมว่า หากวันหนึ่งวันใดชีวิตนี้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เข้าจริงๆ จนทำให้คุณใช้ชีวิตได้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คุณจะทำอย่างไรกับชีวิตหลังจากนั้น? ในปี 1975 หลังจากละครเวทีเรื่อง A Chorus Line เปิดการแสดงขึ้นอย่างเป็นทางการที่บรอดเวย์ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้ไม่นาน ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมอย่างล้นหลาม จนในที่สุดละครเรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลโทนีสาขาละครเพลงยอดเยี่ยม...
ทุกคนย่อมรักตัวเองเป็นธรรมดา แต่อะไรก็ตามถ้ามากเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี เพราะความรู้สึกรักตัวเองมากๆ บางครั้งอาจแปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มหลงในตัวเอง ไม่สนใจใคร ไม่ฟังเสียงใคร จนทำให้มองไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญของคนอื่นๆ ที่อยู่รายล้อมรอบข้างได้อีกเลย แล้วในท้ายที่สุดอาการหลงตัวเอง ก็อาจนำพาชีวิตของคนคนนั้นไปพบกับจุดจบอันแสนเจ็บปวด ไม่ต่างกับโศกนาฏกรรมของนาร์ซิสซัส (Narcissus) ตามตำนานเทพปรกนัมกรีกโบราณ นาร์ซิสซัสเป็นชายรูปงาม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากได้เห็นเขาแล้วจะเกิดความรู้สึกหลงรักขึ้นมาทันทีตั้งแต่แรกพบ แต่ด้วยความหยิ่งทะนงในตน...
ในปี 1893 จิตรกรชาวนอร์เวย์ เอ็ดเวิร์ด มุงค์ (Edvard Munch) สร้างสรรค์ผลงานอันโด่งดังชื่อ The Scream จากแรงบันดาลใจขณะมองเห็นดวงอาทิตย์ตกดิน แต่มันกลับไม่ได้มาจากความรู้สึกโรแมนติกเหมือนจิตรกรทั่วไป ตรงกันข้ามมันคือ ‘ความกลัว’ บางครั้งช่วงเวลาย่ำค่ำที่แสงสุดท้ายของวันสาดกระทบกับริ้วเมฆบนฟ้า กลับกลายเป็นสิ่งผิดแปลกชวนหดหู่จนทำให้เกรงกลัวต่อแสงสนธยาได้อย่างเหลือเชื่อ...
จำได้ไหมว่าคุณรู้จักไฟตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วตอนแรกที่เห็นไฟคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? สำหรับผมจำได้ชัดเจนว่า ตอนเด็กๆ เห็นไฟครั้งแรกแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะที่บ้านชอบจุดไฟทำอาหารปิ้งย่างกินเป็นมื้อเย็นอยู่บ่อยๆ เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ถ้าไม่นับความสว่างจากหลอดไฟ เห็นจะมีแต่แสงจากไฟนี่แหละที่ชวนหลงใหลทุกครั้งที่ได้มอง เปลวไฟพลิ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดมากระทบคล้ายว่ามันมีชีวิตเป็นของตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้ใหญ่ว่าไม่ให้เข้าไปยืนใกล้ไฟ การโดนดุเพราะชอบเอาไม้เขี่ยไฟเล่นจึงแทบเป็นสิ่งคุ้นชินในวัยเด็กของผมก็ว่าได้ (ผู้ใหญ่เองก็คงเบื่อหน่ายกับความซนและดื้อด้านของผมเหมือนกัน) จากนั้นไม่นานความอยากรู้อยากลองได้เรียกร้องให้ผมแอบจุดไฟเล่นเองบริเวณหลังบ้านในมุมหนึ่งที่ความเป็นเด็กคิดว่าลับสายตาผู้ใหญ่ ผมใช้อุปกรณ์ไม่กี่อย่าง เช่น ก้านไม้ขีด ปืนจุดไฟ...
คุณเคยถูกคนใกล้ตัวพาลโมโหร้ายหรืออารมณ์เสียใส่ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิดไหม? อยู่ดีๆ ก็มีคนมาขึ้นเสียงดังตวาดใส่ บางคนอาจถึงขั้นลงไม้ลงมือทุบตีคนรอบข้างโดยเฉพาะคนในครอบครัวและคนรัก หรือไม่ก็ขว้างปาทำลายข้าวของเป็นประจำ เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจหรือความโกรธเคืองเพราะอารมณ์เสียจากคนอื่นมาอีกที จนอดคิดไม่ได้ว่าในสายตาของเขาเห็นเราเป็นอะไร? แล้วทำไมเราถึงต้องกลายเป็นที่รองรับความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นด้วย หรือว่าในสายตาของเขาอาจเห็นเราเป็นเพียงถังขยะใบหนึ่งเท่านั้น แม้ว่า ‘ถังขยะ’ จะเป็นคำเปรียบเทียบที่ให้ความรู้สึกรุนแรงไปบ้าง แต่กลับเป็นคำเดียวที่ให้คำจำกัดความผู้ที่อยู่ในสถานะถูกกระทำได้ชัดเจนและเห็นภาพมากที่สุด เพราะถังขยะคือสิ่งเดียวที่ทุกคนจะมองหาเมื่อต้องการทิ้งอะไรก็ตามที่ไม่อยากเก็บเอาไว้กับตัวอีกต่อไป...
“กลับบ้านได้ไหม ขอกลับไปตายที่บ้านนะ” หญิงวัยเกษียณพูดกับลูกที่เธอรัก แม้เสียงที่เปล่งออกมาจะแหบไปบ้างเพราะมีเสมหะจำนวนมากคั่งค้างอยู่ในลำคอ แต่ก็ชัดเจนมากพอจนทำให้ทั้งคู่หันมาสบตากัน… ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ (ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความ) ไม่มีความสูญเสียครั้งไหนในชีวิตที่ทำให้ผมรู้สึกใกล้ชิดกับความตายได้เท่าวันที่สูญเสียคนในครอบครัว คำร้องขอซึ่งมีสถานะเหมือนกับคำวิงวอนสุดท้ายของป้า กลับไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เพราะลูกต้องการให้เธอได้รับการรักษาเป็นอย่างดีในความดูแลของหมอ เขาจึงเลือกทำตามสิ่งที่ตัวเองหวังไว้มากกว่า...
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ คุณเคยรู้สึกแปลกแยกอย่างถึงที่สุดบ้างไหม? หรือรู้สึกโดดเดี่ยวเกินกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของใครและกลุ่มสังคมใดได้อีกเพียงเพราะชิงชังในความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตบ้างหรือเปล่า? ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 87 ประจำปี 2014 เกรแฮม มัวร์ นักเขียนบทภาพยนตร์ชาวอเมริกันวัย 33 ปี เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือแสดงความยินดี หลังจาก โอปราห์...
“หนูต้องจำทุกอย่างที่ฉันสอนหนูให้ได้ จำที่ฉันสอนหนูได้ไหม?” เอบิลีนถาม “หนูใจดี หนูฉลาดเฉลียว หนูเป็นคนสำคัญ” เม โมบลีย์ ตอบด้วยความไร้เดียงสา เมื่อบทสนทนาในฉากอำลาครั้งสุดท้ายจากภาพยนตร์เรื่อง The Help ระหว่างสาวรับใช้ผิวสีกับเด็กหญิงวัยสามขวบที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกเกิดจบลง ความรักและความรู้สึกผูกพันที่ เม โมบลีย์...
ในช่วงเวลาที่คุณเศร้าและทุกข์ที่สุด ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวายและเรื่องราวอัดอั้นตันใจ คุณมีใครสักคนไหมที่จะคอยรับฟังทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของคุณ คนที่คุณเชื่อมั่นว่าอย่างน้อยที่สุดเพียงแค่ได้บอกเล่าหรือระบายความในใจกับเขาแล้ว ความทุกข์ร้อนและเรื่องโศกเศร้าที่เคยมีจะบรรเทาเบาบางลง จากหัวใจที่บอบช้ำและความรู้สึกท้อแท้ที่อาจบั่นทอนชีวิตจนแทบสูญสิ้นความหวัง กลับได้รับการเยียวยาจนรู้สึกสบายใจมากขึ้นอีกครั้ง เพราะคุณตระหนักดีว่าในช่วงเวลาที่ยากที่สุดของชีวิต ยังมีคนสำคัญที่คอยเป็นกำลังใจและเป็นที่พึ่งทางใจให้คุณเสมอ ความรู้สึกอุ่นใจทั้งหมดนี้เกิดได้เพราะพลังของการรับฟังอย่างเข้าใจ แต่ทุกวันนี้เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแห่งการพร่ำบ่นก่นด่าและการเปล่งเสียงเรียกร้องความสนใจ แล้วสังคมก็จะค่อยๆ หล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนพูดมากกว่าฟังอีกที จนในที่สุดทำให้เรามีมุมมองต่อทุกอย่างรอบตัวด้วยความฉาบฉวยอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะเราทุกคนเป็นผลผลิตหนึ่งของสังคมที่อาศัยอยู่ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของใครหรืออะไร...
ตามตำนานพื้นบ้านจากคติความเชื่อของชาวอินเดียนแดง (Native American) ที่เล่าขานกันมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 บอกไว้ว่า ในป่าลึกท่ามกลางความหนาวเย็นและเงียบสงัดเป็นที่อยู่ของปีศาจโบราณน่าหวาดกลัว พวกมันเป็นวิญญาณหิวกระหายเลือดเนื้อที่คอยจ้องสิงสู่คนพื้นเมืองผู้โชคร้ายและแปลกแยกจากเผ่า เมื่อถูกครอบงำมันจะกระชากสันดานดิบเถื่อนจากเบื้องลึกในจิตใจที่ดำมืด ให้โผล่พ้นออกมาเยี่ยงเดรัจฉานร้ายจนไม่หลงเหลือความเป็นคนอีกต่อไป มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มันต้องการเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงให้วิญญาณและร่างดำรงอยู่ได้ นั่นคือกัดกินเนื้อมนุษย์เป็นๆ จากตำนาน อาจให้ความรู้สึกราวกับเป็นเรื่องปรำปราใช้หลอกเด็กไร้เดียงสามากกว่า แต่เรื่องเหลือเชื่อเหนือจริงที่สืบต่อกันมาเป็นร้อยๆ ปีทำนองนี้แหละ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการป่วยทางจิตเวชที่เกิดจากอิทธิพลความเชื่อและวัฒนธรรมประจำถิ่น (Culture-Bound...