“ไม่แต่งตัวเลย ไม่ชอบแฟชั่น ไม่เคยตามดู แต่ถ้าอยากลองลุกขึ้นมาแต่งตัว ต้องเริ่มยังไง” ดิฉันได้ยินประโยคนี้มาเยอะมาก ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อก่อนตอนยังทำงานในวงการแฟชั่น ดิฉันไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ไม่เคยสนใจว่าใครจะแต่งตัวแบบไหน เพราะคนรอบตัวเรามีแต่คนที่แต่งตัวจัดจ้าน แต่งตัวเก๋ๆ และดิฉันก็ได้แรงบันดาลใจจากพวกเขาอยู่เสมอ ในช่วงนั้นดิฉันคิดว่าคนทุกคนแต่งตัวในสไตล์ที่ตัวเองเป็นได้เสมอ...
เข้าฤดูร้อนอย่างเต็มตัว และด้วยสถานการณ์รอบตัวเราที่ค่อนข้างตึงเครียดในช่วงนี้ หลายๆ คนถามเข้ามาว่าจะทำอย่างไรให้การแต่งตัวช่วยดึงความสดใสสดชื่นได้บ้าง ขอตอบว่าลายดอกไม้ช่วยได้นะคะ เมื่อพูดถึงลายดอก คนส่วนใหญ่มักจะมีภาพจำของลายที่ต่างกันไป บางคนก็ว่าหวานๆ บางคนก็ว่าเอะอะ ลูกค้าบางคนของดิฉันถึงกับปฏิเสธลายดอกไปเลยล่ะค่ะ เพราะรู้สึกว่าเป็นสัญญะของความหญิ้งหญิง แต่ไม่ว่าภาพลายดอกในความทรงจำของเราจะเป็นอย่างไร เราสามารถกำหนดภาพใหม่ๆ ให้ตัวเองได้เสมอ โดยยังคงความเป็นตัวเองและสามารถใส่ลายดอกไม้ได้อย่างสบายใจขึ้นด้วยนะคะ ที่พูดมานี้ดิฉันไม่ได้หมายถึงผู้หญิงเท่านั้นนะ...
“ในช่วงที่รู้สึกจิตตก เราจะใช้การแต่งตัวช่วยในการบำบัดหรือเยียวยาตัวเองได้อย่างไรบ้าง” ดิฉันขอบอกว่าดิฉันเข้าใจคำถามนี้อย่างที่สุดเลยค่ะ และคิดว่าใครหลายๆ คนที่อ่านอยู่อาจจะกำลังอยู่ในความรู้สึกอึมครึมทางจิตใจ เพราะความกดดันและความเครียดที่แฝงตัวมาในรูปแบบของโรคที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและใกล้ตัวเข้ามาทุกที ไหนจะความกดดันเรื่องหน้าที่การงาน ธุรกิจที่ช่วงนี้ก็ค่อนข้างชะงักไม่ก็หนักหนาสาหัสไปเลย และด้วยสถานการณ์แบบนี้ หลายๆ คนก็อาจจะหมดอารมณ์ที่จะอยากแต่งตัวสวยๆ เพราะอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ แต่เป็นกันไหมคะ ยิ่งเราเห็นตัวเองในชุดอยู่บ้านสบายๆ มากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกมั่นคงในตัวก็ดูเหมือนว่าจะลดน้อยลงทุกที...
ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่เราคุยกันเรื่อง Power of Self-Pampering มีคนอยากทราบอีกว่า จัดตู้ให้เวิร์ก นอกจากเคลียร์ของแล้วทำอะไรได้อีก เลยทำให้ดิฉันมานึกถึงเรื่อง Wardrobe Therapy ศาสตร์แห่งการบำบัดตัวเองด้วยการแต่งตัว อย่างที่บอกในทุกอีพีว่าการแต่งตัวไม่ใช่แค่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ให้ผ่านไปในแต่ละวัน แต่เราสามารถกำหนดเป้าหมายให้การแต่งตัวเพื่อช่วยเป็นใบเบิกทางให้เราก้าวสู่สิ่งที่ต้องการในชีวิตด้วยความรู้สึกมั่นใจและมั่นคงในตัวเอง มากไปกว่านั้น เราสามารถให้ความหมายและสื่อสารถึงตัวตนของเราให้คนอื่นได้รับรู้...
“เจอปัญหาลูกค้าไม่เชื่อถือเพราะไม่แต่งตัว แต่งานนั้นเป็นงานด้านการใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะแก้ปัญหานี้อย่างไรได้บ้าง” เคยเป็นไหมคะ เราเชื่อมั่นในสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง แต่คนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่ใช่ คนอื่นที่ว่านั้นใช่ว่าเราต้องแคร์ แต่ถ้า ‘คนอื่น’ คนนั้นคือลูกค้าหรือเจ้านายผู้มีอุปการะคุณ ก็อาจจะต้องแคร์สักหน่อย จริงไหมคะ ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องลุกขึ้นมา ‘เปลี่ยนแปลงตัวเอง’ เพื่อเอาใจใครๆ ตรงกันข้าม...
เคยเป็นไหมคะ เวลาคบกับใครสักคน เราจะมีความคาดหวังให้เขาเป็นแบบนั้นแบบนี้โดยเฉพาะในแบบที่เราอยากเป็น ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะดีในช่วงแรก แต่ในระยะยาวต่างคนต่างอาจจะรู้สึกกดดันจากความคาดหวังที่อีกฝ่ายมีให้ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก แต่ยังเป็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก เจ้านายกับลูกน้อง หรือแม้กระทั่งลูกค้ากับผู้ถูกว่าจ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว แม้เราจะเปลี่ยนเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจหรือเชื่อในตัวเรามากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว ความหงุดหงิดรำคาญใจก็ถูกแสดงออกมาอยู่ดี เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ไม่มีใครอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่นหรอกค่ะ เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลงได้ก็เมื่อตัวเราเท่านั้นที่ต้องการจะเปลี่ยน และไม่ได้เปลี่ยนเพื่อใคร แต่เปลี่ยนเพื่อต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง...
หลายๆ ครั้งที่ดิฉันมักจะได้ยินคำถามหรือคอมเมนต์เกี่ยวกับการแต่งตัว เช่น เราต้องใส่ใจเรื่องนี้แค่ไหน เราต้องใช้การแต่งตัวเป็นใบเบิกทางจริงหรือ ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนไม่เห็นต้องใส่สูทผูกไท หรือแม้กระทั่งว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าเรามีความสามารถ ทุกคนจะเห็นเอง เหมือนที่เราเห็นจากคนดังหลายๆ คน เรื่องการแต่งตัวเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่เรามีสิทธิเสรีภาพเต็มร้อยที่จะเลือกในสิ่งที่เราต้องการ ถ้าใครได้เรียนเรื่องของจิตวิทยา โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาตัวเอง จะเคยได้ยินคำว่า...
เสื้อผ้าเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 และเสื้อผ้าก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีผลต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมากในช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมา ช่วงหลังกระแสรักษ์โลกที่มาแรงทำให้พวกเราหลายๆ คนมีความตระหนักในเรื่องนี้มากขึ้น ดิฉันเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ตระหนักเรื่องนี้มาสักพักหนึ่งแล้วค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไปไม่ถึงขีดสุดที่จะลุกขึ้นเป็น Green Fashion อย่างเต็มตัว ดิฉันได้รับคำถามนี้จากทีมงานของ a day BULLETIN ก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ Sustainable Fashion...
“Don’t be too hard on yourself” (อย่าโหดกับตัวเองมากนักเลย) โค้ชฝรั่งที่ดิฉันใช้บริการมาตลอดสี่เดือนกล่าวไว้ เมื่อดิฉันบอกกับเธอว่าช่วงนี้ดิฉันรู้สึกหมดพลังเนื่องจาก เหตุการณ์ต่างๆ ประดังประเด โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่ดิฉันเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่อ่านอยู่กำลังเป็นเหมือนกัน นั่นคือการทำทุกทางเพื่อให้เรามีชีวิตรอด และไม่ใช่แค่เรา...
รู้ไหม ในช่วงเวลาแบบนี้เป็นโอกาสดีที่คุณจะเริ่มสร้าง Personal Content ดิฉันขอใช้คำว่าเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส หรือสร้างโอกาสให้กับตัวเองทุกๆ วัน ผ่านการสร้างสรรค์ที่คิดมาแล้วของคนกลุ่มหนึ่ง ดิฉันกำลังหมายถึงโซเชียลมีเดียทั้งหลาย Facebook, Instagram, Twitter, TikTok แน่นอนค่ะ แพลตฟอร์มเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อดึงฐานข้อมูลมหาศาลจากพวกเรา ดิฉันเลยคิดว่าได้เวลาแล้วที่เราจะเอาคืนบ้าง มีคนไทยหลายล้านคนเป็นประชากรของเฟซบุ๊กอยู่ ณ...
หนึ่งในกิจกรรมที่ดิฉันมักจะให้ลูกค้าทำคือการหาสไตล์ไอคอน และหลายๆ ครั้งที่คำถามนี้ถูกส่งกลับมาว่า พยายามหาคนที่ชอบแล้ว พยายามหาสไตล์ที่ชอบแล้ว และพยายามลองแต่งตัวตามแบบเขาแล้ว ทำไมไม่ออกมาดูดีเหมือนกับไอคอนที่เราชื่นชอบล่ะ คำตอบก็คือ การแต่งตัวไม่ใช่เรื่องของเสื้อผ้า แต่เป็นเรื่องของ Personality หรือบุคลิกภาพและการนำเสนอตัวเอง เราแต่ละคนมีบุคลิกภาพที่โดดเด่น เป็นตัวของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น แม้ว่าจะเราจะมีสไตล์ไอคอน หรือไอดอล...
มีคำถามเข้ามาเยอะว่า เราจะสร้างความสมดุลในชีวิตการแต่งตัวได้อย่างไร ในเมื่อตลาดเสื้อผ้าเต็มไปด้วยฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ที่เข้ามาให้เราเลือกแทบจะนาทีต่อนาที และจบลงที่เราหลายๆ คนที่อ่านอยู่ในที่นี้มีเสื้อผ้าเต็มตู้แต่ไม่รู้จะหยิบชิ้นไหนขึ้นมาใส่ มากไปกว่านั้นคือเรามักจะคำถามวนอยู่ในหัวว่าเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายโลกหรือเปล่า เพราะจากข้อมูลต่างๆ ที่อ่านเจอ ธุรกิจฟาสต์แฟชั่นมีส่วนอย่างมากในการสร้างขยะและมลภาวะให้กับโลกใบนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องยอมรับว่าเรา (ยัง) หนีห่างจากฟาสต์แฟชั่นอย่างถาวรไม่ได้ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ความรีบเร่งและการทำงานที่ต้องใช้ความคิดและพลังงานมากมายเพื่อตั้งสติใช้เสื้อผ้าอย่างเกิดประโยชน์และเป็นโทษกับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ...