“ศิลปะคือรูปแบบความเป็นมนุษยชาติ เป็นพื้นที่ที่เราสามารถถ่ายทอดตัวตนภายในได้อย่างเป็นอิสระและจริงแท้ที่สุด” ชิป ทอม (Chip Tom) ภัณฑารักษ์นิทรรศการ ‘Wynn – Garden of Earthly Delights’ เล่าถึงที่มาที่ไปถึงภาพเขียนฝีมือเฮียโรนิมัส บอช (Hieronymus...
“There is more to Belgium than waffles, frites, and Manneken Pis.” ข้อความบนป้ายที่อ่านแล้วทำให้รู้ตัวว่ามาเบลเยียมเป็นครั้งที่สามแล้ว จนต้องถามตัวเองตอนยืนรอรถหน้าสนามบินว่าอะไรกันที่ทำให้กลับมาประเทศเล็กๆ ท่ามกลางพี่ใหญ่แห่งยุโรปที่ขนาบข้างอย่างฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี ถ้าคำตอบจะเป็นวาฟเฟิล ช็อกโกแลต หรือเบียร์ก็ไม่ผิดอะไร แต่รู้ดีแก่ใจว่าความหลงใหลมันมากไปกว่านั้น...
ร้านค้าปิดกันแทบทั้งเมือง ผู้คนออกจากบ้านกันแต่เช้า บ้างคาดผม บ้างถือธง บ้างถือป้ายขนาดใหญ่เดินคู่กันไปสองสามคน รูปแบบการสื่อสารต่างกัน หากข้อความนั้นเดียวกัน พวกเขาเดินตรงลงเขาไปยังจุดเดียวกัน ไปยังใจกลางเมืองดารัมซาลา เมืองลี้ภัยของชาวทิเบตในอินเดียตอนเหนือ ใจกลางเมืองที่พวกเขาเคยเป็นสักขีพยานให้กับนับร้อยชีวิตที่จุดไฟเผาตัวเอง เพื่อร้องบอกให้โลกเห็นว่าทิเบตมีตัวตน ให้โลกได้ยินว่าทิเบตไม่ใช่ – และไม่เคย – เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน อาจแปลกใจที่เห็นผู้ร่วมเดินประท้วงเดินกันอย่างสงบ...
“Hate speech is not free speech” ถึงวันนี้มีใครจดจำข่าวผู้ชายที่ถูกถ่ายรูปบนรถไฟฟ้า ในภาพนั้นเขายืนเล่นมือถือ สวมรองเท้าที่มีรอยเป็นรู พร้อมแคปชันที่ผู้ถ่ายกล่าวไว้ว่า “รองเท้าติดกล้อง ขอให้สาวๆ ระวังตัว” กันได้บ้าง จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แน่นอนละ เรื่องราวก็ผ่านมาแล้วเป็นปีๆ เนื้อหาของข่าวว่าอย่างไรนั้นจำไม่ได้ อย่าว่าแต่ให้รื้อความจำเลยว่าเคยฝากความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือไม่ อาจจะเคยพยักหน้าเออออไปในเชิงต่อว่าผู้ชายคนนั้น...
‘Ik hou van Holland’ ภาพเสื้อยืดปักตัวอักษร ‘ฉันรักฮอลแลนด์’ วางขายอยู่เต็มถนนสายหลัก, สะพานข้ามคลองเล็กๆ ที่มีอยู่แทบจะทุกๆ กิโลเมตร คอยเชื่อมอาคารหน้าแคบทรงสูงประดับกระจกใสบานกว้าง ซึ่งขนาบระหว่างสองฝั่ง, ปลาแฮร์ริงสดๆ เสิร์ฟคู่กับหัวหอมสับและแตงกวาดอง ล้างปากด้วยของหวานเป็นสตรูปวาฟเฟิลวางบนกาแฟร้อนๆ ข้างในมีซอสคาราเมลไหลเยิ้มไว้ตัดความขม เมืองแต่ละเมืองนั้น...
จังหวะหัวใจหยุดเต้นแบบในละครมีอยู่จริง! เมื่อชายหนุ่มร่างสูงโปร่งตรงหน้าก้าวเท้าเข้ามาหาในระยะประชิด “สวัสดีครับ คุณพักห้องนี้หรืเปล่า” เขาเอ่ยปากถามกลางโถงทางเดินในโฮสเทลแห่งหนึ่ง ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เรายิ้มตอบกลับไป เขาจึงร่ายยาวถึงชื่อเสียงเรียงนาม และจุดประสงค์ของการมาเยือนมหานครแห่งนี้ พร้อมเอ่ยปากชักชวนเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง หากเราท่องเที่ยวตัวคนเดียวเหมือนกัน เฮ้ย! ชวนกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ เรานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงตอบกลับไปด้วยประโยคแสนสั้น “ตกลงค่ะ” แน่ล่ะว่าใครๆ...
“มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีกำแพงเช่นนั้นตั้งอยู่จริงๆ แต่ในระยะเวลายี่สิบแปดปีที่มันคงอยู่ก็นึกไม่ออกเลยว่ากำแพงนี้จะหายไปได้อย่างไร” หนึ่งในบทสัมภาษณ์ Where were you when the Wall came down? จากสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยที่บันทึกเรื่องราวของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในเยอรมนีช่วงก่อนการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน และนำมาจัดฉายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน...
“รสหวานของปลาไหลทะเล ไข่ม้วน และคัมเปียว รสเปรี้ยวและเค็มของโคฮาดะ รสขมของสึเคะปลาเนื้อแดง และรสมันของฮิราเมะกับหอยแครง… สีแดงของปลาเนื้อแดงและหอยแครง สีเหลืองของไข่ม้วน สีครามของปลาโคฮาดะ สีขาวของปลาฮิราเมะ และสีดำของคัมเปียว” ท้องร้องโครกครากแทบคลานหาอาหารญี่ปุ่นกินเสมอหลังจากที่ได้อ่าน ‘ไอ้หนุ่มซูชิ’ ฉากบนโต๊ะอาหารนี่เองที่ทำให้วัฒนธรรมในชีวิตประจำวันแบบฉบับญี่ปุ่นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าว ‘อิตะดะคิมัส” ที่แม่โนบิตะมักย้ำให้พูกก่อนมืออาหาร หรือมิซาเอะแม่ผู้คอยจ้องไม่ให้ชินจังแอบเอาพริกหวานไปทิ้งใต้โต๊ะ เพื่อฝึกนิสัยให้กินผักได้...
โอเปราเฮาส์ โรงอุปรากรแห่งชาติที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของกรุงเวียนนา ด้านหน้าอาคารประดับตกแต่งด้วยศิลปะสไตล์นีโอเรอเนซองส์ ด้านในผสมผสานศิลปะหลายยุคสมัย แทบทุกตารางนิ้วประดับตกแต่งไปด้วยรูปปั้นสีทองอร่าม บนพื้นปูพรมแดงก่ำตัดกับผนังหินอ่อน ไม่เพียงแต่โดดเด่นในเรื่องความสวยงาม แต่ยังมีนัยยะสำคัญเป็นสถานที่ที่ใช้สืบสานเรื่องราวความรุ่งเรืองของชาติในอดีตมาสู่ปัจจุบัน ผ่านบทประพันธ์คลาสสิกของคีตกวีเอกระดับโลกอย่างโมซาร์ต หรือวากเนอร์ ซึ่งรวมความเป็นเลิศทางดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรม ไม่ว่าใครมาถึงเวียนนาก็ต้องแวะที่นี่กันทั้งนั้น เราเดินผ่านหน้าโรงละครไปเรื่อยๆ จากประตูหนึ่งไปสู่อีกประตูหนึ่งจนถึงด้านหลังโอเปราเฮาส์ หยุดยืนหน้าประตูเหล็กสีแดงหม่นไร้การตกแต่งประดับประดาใดๆ ไม่มีคนยืนรอต่อแถวซื้อบัตร ไม่มีคนถ่ายรูป นี่คือประตูบานเดียวที่เปิดรับผู้คนที่ไม่มีบัตร...
ประสบการณ์สอนเราว่า การเดินทางที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องมีการวางแผน แต่ก็เป็นประสบการณ์อีกเช่นกันที่ทำให้เห็นว่าการเดินทางที่น่าจดจำมักเกิดจากการนำแผนที่มีอยู่ในมือวางลงบ้าง เราเริ่มต้นเดินทางกับนิสัยไม่วางแผนใดๆ ไม่ฟันธงตัดสินใจอะไรล่วงหน้า คิดว่าจะไปสนุกอะไรหากรู้ล่วงหน้าไปหมดทุกสิ่ง มีกำหนดการไปหมดทุกอย่าง แต่การไปถึงแล้วหาที่พักไม่ได้ ไม่มีรถต่อระหว่างเมือง ต้องรอที่สถานีรถไฟยามวิกาล มือถือแบตฯ ใกล้จะหมดโดยที่ยังไม่รู้ว่าจุดต่อไปคือที่ไหน หรือราคาตั๋วหน้างานที่สูงลิบลิ่วห่างกันเป็นเท่าตัว หลายคนอาจมองว่านั่นคือการผจญภัย แต่การผจญภัยในบางครั้งก็หมายถึงความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน และความไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งผ่านๆ มาก็ค่อยๆ เปลี่ยนให้เรากลายเป็นมนุษย์ที่เริ่มวางแผนยามเดินทาง ...
ฉาก ‘Milk Bar’ (Bar Mleczny) ลักษณะเป็นห้องเดี่ยวหลังคาทรงเตี้ย ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางตึกอาคารสูงในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ดูคล้ายเป็นฉากที่ผิดที่ผิดทาง แตกต่างไปจากสิ่งปลูกสร้างในยุคปัจจุบัน ผ้าม่านลูกไม้สีเทาหม่นๆ คล้ายกลางวันในฤดูหนาว โคมไฟดิสโก้บอลที่มองดูแล้วน่าจะเป็นแชนเดอเลียร์โมเดิร์นในวันที่มันถูกยกจับขึ้นไปบนเพดานนั่น สิ่งของเหล่านี้กลายเป็นของเก่าเข้ากรุ หรือในอีกมุมมองหนึ่งคือเครื่องตกแต่งแห่งวันวาน เพราะอุปกรณ์ภายในร้านดูสงวนไว้ราวกับนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปก่อนปี 1989 ก่อนคอมมิวนิสต์จะล่มสลาย...
แอนเดรส เจ้าของบ้านคนใหม่ เปิดบทสนทนาในวันที่เราพบกันว่า หนึ่ง เขาเป็นชาวคาตาลัน สอง เราเลือกอยู่ถูกที่และจะต้องชอบแถวนี้แน่ๆ เพราะย่านโพเบิลนู (Poblenou) นั้นไม่เหมือนที่ไหนๆ ในบาร์เซโลนา พร้อมกับแนะนำจุดต่างๆ ให้ออกไปเดินสำรวจจะได้รู้ว่าคำกล่าวของเขานั้นไม่เกินจริง ไม่ต้องรอยืนยันจากแอนเดรสก็พอจะรับรู้ได้ถึงข้อเท็จจริงนั้น ตั้งแต่เห็นธงคาดสีเหลืองแดงมีดาวขาวบนพื้นฟ้าประจำชาติคาตาลุญญา (Catalanya) ปักอยู่หน้าบ้าน และชื่อเสียงของย่านโพเบิลนู...