การวิ่งครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของ ‘ตูน บอดี้สแลม’

เรามีโอกาสได้นั่งคุยกับ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ตูน บอดี้สแลม ในบรรยากาศที่แปลกออกไปสักหน่อย ซึ่งครั้งนี้บทสนทนาทั้งหมดล้วนเป็นอีกมิติของชีวิตเขาซึ่งไม่มีเรื่องของดนตรีมาเกี่ยวข้อง สิ่งที่เราคุยกันเป็นเรื่องของ ‘การวิ่ง’ ที่เขาไม่ได้วิ่งเพื่อตัวเอง หรือว่าวิ่งเข้าเส้นชัยให้เร็วที่สุดเพื่อเอาชนะใคร แต่เป็นการวิ่งบนระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เป็นเวลา 10 วัน จากกรุงเทพฯ ไปยังอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

ในโครงการ ก้าวคนละก้าว ของ ตูน บอดี้สแลม ที่จัดขึ้นเพื่อระดมทุนนำเงินไปช่วยเหลือโรงพยาบาล แวบแรกที่เราได้ยินรายละเอียด ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจเลยคือ ‘จะไหวเหรอ?’ ขยายความโหดของการวิ่งครั้งนี้ให้เห็นชัดขึ้น ระยะทางมาตรฐานของการวิ่งมาราธอนทั่วโลกคือ 42.195 กิโลเมตร ซึ่งหากจะไปให้ถึงเป้าหมาย ตูนต้องวิ่งเฉลี่ยเป็นระยะทางเกือบเทียบเท่าการวิ่งมาราธอนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 10 วัน

 

เชื่อว่านี่เป็นการวิ่งที่ยาวไกลและยากที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งเขาก็บอกกับเราตรงๆ ว่า การวิ่งครั้งนี้มันฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะเขาเองอยากจะสื่อสารถึง ‘ปัญหา’ ที่มันต้องการการแก้ไขที่เกินจริงอยู่ในขณะนี้ “สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ หรือสิ่งที่เราต้องการแก้ไขปัญหามันเป็นสิ่งที่ดูเกินจริง การที่เราจะวิ่ง 400 กิโลเมตร ตรงนี้ผมว่ามันสอดคล้องกัน คือมันก็ดูเกินจริงมากเลยกับปัญหาที่เราต้องการเข้าไปเยียวยา” เมื่อมาย้อนฟังเทปและเรียบเรียงบทสัมภาษณ์จนถึงบรรทัดสุดท้าย เรานึกถึงภาพของ ทอม แฮงส์ ในภาพยนตร์ Forrest Gump ที่กำลังวิ่งข้ามทะเลทรายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในภาพยนตร์ การวิ่งของฟอร์เรสต์ได้เปลี่ยนชีวิตของใครหลายๆ คนไป เราคิดว่าการวิ่งครั้งนี้ของตูนก็คงเหมือนกัน วันที่ผู้ชายคนนี้เริ่ม ‘ก้าว’ คงจะมีแรงกระเพื่อมที่จะทำให้อะไรบ้างอย่างเกิดขึ้น

ตูน บอดี้สแลม

อยากจะให้เล่าให้ฟังหน่อยว่าโปรเจ็กต์ ‘ก้าวคนละก้าว’ ที่มาเป็นอย่างไร

จริงๆ มันเริ่มต้นจากการที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คุณหมอเชิดชาย ชยวัฑโฒ ท่านแค่อยากจะชวนเราไปเป็นหนึ่งในสีสันของงานวิ่งที่กำลังจะจัดในอำเภอ จุดประสงค์ที่แกเล่าให้ฟังคือเพื่อต้องการให้คนบางสะพานได้มาวิ่งออกกำลังกายกันบ้าง ส่วนจุดประสงค์ที่สองคือถ้ามีเงินเหลือจากการจัดงาน ก็จะนำไปซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลที่กำลังขาดแคลน ซึ่งคุณหมอเขามาคุยกับเราในช่วงต้นปี เราก็โอเค ฟังแล้วอยากช่วย เป็นคนชอบวิ่งอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ซึ่งจริงๆ อาจไม่มีใครรู้ว่าเราใช้ชีวิตอยู่ที่บางสะพานมาประมาณ 2 ปี ไปปลูกบ้านที่นั่น ช่วงพักคอนเสิร์ตก็จะไปนอน ไปใช้ชีวิตอยู่ ไปอ่านหนังสือ แต่งเพลง ก็คิดว่าถ้าเราได้ทำอะไรสักอย่างให้คนในพื้นที่ได้ก็คงดี

การวิ่งครั้งนี้มันมีความหมายอะไร มากกว่าเป็นอีเวนต์หนึ่งในการระดมทุนหรือเปล่า

เราจะใช้การวิ่งนี้สื่อสารปัญหาที่มีอยู่ให้คนได้รับรู้ในวงกว้างที่สุด สาระไม่ได้อยู่ที่การวิ่ง 400 กิโลเมตร ไม่ต้องไปถึงเร็วที่สุด ไม่ต้องแข่งกัน แต่สาระคือ เราใช้การวิ่งเป็นเครื่องมือในการบอกกล่าว ส่งสารออกไปว่าตรงนี้ต้องการความช่วยเหลือและขาดแคลน อยากให้คนแบบเราๆ ที่ไม่ได้มีเงินจำนวนมากพอที่จะบริจาคได้เป็นแสนเป็นล้านเหมือนคนอื่นได้รับรู้กันเยอะๆ ก่อนอื่นต้องรับรู้ก่อนว่ามีปัญหา เพราะคนไทยเราจะชินตากับโรงพยาบาลรัฐฯ โรงพยาบาลประจำจังหวัดและอำเภอ ที่เวลาคนไปใช้บริการต้องต่อคิวกันยาวๆ ตั้งแต่ตีสี่ตีห้า คนเฒ่าคนแก่ เด็กน้อย ไปรอตั้งแต่ 11 โมง จนบ่ายโมง ถึงเย็น อยู่โรงพยาบาลกันทั้งวัน คือเราจะชินตากัน และมักคิดว่าคนที่มีความรับผิดชอบเรื่องพวกนี้คงช่วยกันเต็มที่อยู่แล้ว คนที่บริจาคก็คงเข้าไปอุดรูรั่วตรงนี้ได้อยู่แล้ว มันถึงไม่มีเสียงที่พูดปัญหาเหล่านี้ออกมาบอกให้เราช่วยกัน ทุกคนต่างก็คิดว่ามีคนดูแลอยู่ตรงนั้นพอแล้ว สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม

เราจะใช้การวิ่งนี้สื่อสารปัญหาที่มีอยู่ให้กับคนได้รับรู้ในวงกว้างที่สุด
สาระไม่ได้อยู่ที่การวิ่ง 400 กิโลเมตร ไม่ต้องไปถึงเร็วที่สุด ไม่ต้องแข่งกัน
แต่สาระคือเราใช้การวิ่งเป็นเครื่องมือในการบอกกล่าว
ส่งสารออกไปว่าตรงนี้ต้องการความช่วยเหลือและขาดแคลน

จะพูดได้ไหมว่าการวิ่งครั้งนี้มันเป็นมากกว่าการช่วยแค่โรงพยาบาลเดียว

ใช่ๆ จริงๆ แล้วผมอยากจะต่อยอดว่าความจริงไม่ได้มีแค่ที่บางสะพานเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ คุณหมอบอกว่าโรงพยาบาลระดับนี้เขามีชื่อเรียกเป็นภาษาราชการว่าระดับ M2 (หมายถึงโรงพยาบาลชุมชนขนาด 120 เตียง) อยู่อีก 80 กว่าโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จริงๆ ก็มีหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาตลอดเวลานะ แต่เหมือนถมทรายในมหาสมุทร คนป่วยก็มีทุกวัน เครื่องไม้เครื่องมือที่มีก็เก่าลงไปทุกวัน หรือว่าเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปทุกวัน ต้องการอะไรใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจุบัน

แล้วทำไมต้องวิ่ง ในขณะที่คุณเองอยู่ในจุดที่เลือกได้ และมีทางอื่นอยู่อีกตั้งเยอะ จัดคอนเสิร์ต เล่นดนตรี ทำอะไรที่ไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้

จุดประสงค์แรกของคุณหมอคือต้องการให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ซึ่งเราก็วิ่งอยู่แล้ว ผมชอบอย่างหนึ่งมากเลย ทุกวันนี้ผมซ้อมวิ่งในหมู่บ้าน ภาพที่ผมเห็นก็คือเวลาที่ผมออกไปวิ่งก็มีพี่ๆ จากบ้านหลังเล็กๆ ออกมาวิ่งตาม ทั้งที่เขาไม่เคยวิ่งมาก่อน ก็มาให้กำลังใจผม ผมชอบความรู้สึกนี้ เราไม่ได้วิ่งเก่งกาจอะไร แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้คนลุกออกมาจากบ้าน ออกมาจากโซฟาหน้าทีวีได้ ออกมาวิ่งกับเรารอบสองรอบ บางคนก็วิ่งกับเราเป็นสิบรอบ เพราะเวลาผมซ้อมวิ่ง ผมซ้อมประมาณ 20 กว่ารอบ รอบหนึ่งประมาณ 1 กิโลเมตร ผมรู้สึกว่ามันเพิ่มมิติของผมด้วย จากแค่ร้องเพลง จัดคอนเสิร์ต ผมเองก็ทำมาหมดแล้ว และตรงนั้นมันก็ไม่บันดาลใจให้คนมาออกกำลังกายอย่างที่คุณหมอต้องการ ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบกีฬามากๆ ความสนใจของผมถ้าให้แบ่งออกมาเป็น 100% ดนตรีกับกีฬามาอย่างละ 50% เลยนะ เพราะตอนเด็กๆ ผมก็เป็นนักกีฬาฟุตบอลที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นนักกีฬาปิงปองที่จังหวัดสุพรรณบุรี คือเราเล่นกีฬามาตลอดชีวิตอยู่แล้ว เป็นอีกมุมหนึ่งที่ชอบและสามารถสื่อสารผ่านตัวเองได้ ถ้าเราทำแล้วมันบันดาลใจให้คนได้จริงๆ เราก็อยากจะทำ

ตูน บอดี้สแลม

 

แล้วทำไมถึงเกิดโครงการวิ่งระดมทุนนี้ขึ้นมาได้

ก็คุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่สนิทกันเพราะเตะบอลด้วยกันตลอด บอกให้เขาช่วยหน่อย บอกว่าผมจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ครับ จะยังไงดี พี่จะช่วยบอกต่อได้ไหม ช่วยกระซิบต่อได้ไหมในฐานะที่พี่มีนิตยสารในมือ พี่เขาก็ถามว่า อ้าว แล้วทำไมไม่ทำให้มันจริงจังไปเลยวะ เฮ้ย ทำดีไม่ต้องเขินดิ ตามสไตล์พี่เขา ทำดีไม่ต้องอาย ทำไปเลย พี่เขาก็บอกว่า ถ้าเราทำตรงนี้ เราทำเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วคนรู้เยอะๆ มาช่วยกันเยอะๆ ได้เงินไปช่วยตรงนี้เยอะๆ มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เราอุตส่าห์ลงแรงขนาดนี้ มันต้องได้ผลที่คุ้มค่าเหนื่อยสิวะ มันมีอยู่แล้วคนที่จะมองเราแบบนั้น ไม่ต้องไปกลัว ทำไปเลย ถ้ามันจะได้ผลประโยชน์เยอะที่สุดกับปลายทางที่เราต้องการให้เป็น ผมก็คิดว่า เออ จริงว่ะ ใช่ เราอุตส่าห์ตั้งใจขนาดนี้แล้ว อะ กลั้นใจ เอาก็เอา ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปเลยก็ได้ เพราะอยากให้คนรู้เยอะๆ เพื่อให้มาช่วยกันเยอะๆ

ถ้าให้พูดหนึ่งคำกับตูนที่วิ่งเข้าเส้นชัย จะพูดอะไร

โอ๊ย น่าจะร้องไห้นะ แล้วก็อยากจะได้เงินเยอะๆ บอกคุณหมอว่าหมอเอาไปเลย ผมทำให้แล้วครับ เอาไปเลย แล้วได้ข่าวว่าวันนั้นจะมีคนจากบางสะพาน มีผู้ว่าฯ ประจวบฯ มาร่วมวิ่งต้อนรับเข้าเส้นชัยด้วยกัน คงเหมือน ฟอร์เรสต์ กัมพ์ มีเด็กน้อย มีผู้เฒ่าผู้แก่ คนในตำบลในอำเภอมาวิ่งด้วย ก็คงเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่น่าจะมีความสุข อยากให้เราไปถึงวันนั้นได้ อืม แล้วจะทำมันทุกปี มีความสุขมากเลยตอนนี้ บรรทัดสุดท้ายคือตอนนี้มีความสุขมากเลยนะ