สำรวจเส้นทางการเดินสู่สภาวะอุเบกขาของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ

ในฐานะของศิลปินร่วมสมัย คามิน เลิศชัยประเสริฐ ได้รับการยอมรับทั้งในไทยและในระดับนานาชาติ ชื่อเสียงเงินทองหลั่งไหลเข้ามา พร้อมกับความสนใจของสื่อต่างๆ ภาพของเขาในตอนนี้กลายเป็นทั้งศิลปินระดับโลก และผู้นำทางจิตวิญญาณสมัยใหม่ แต่เขาบอกกับเราว่า “ไม่ ไม่ ผมไม่ได้เป็นคนธรรมะธัมโมแบบนั้น”

ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือศิลปินสมถะ ผู้แสวงหาความจริง กลับคืนสู่ธรรมชาติ สำรวจภายในตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพ เขาอาศัยการลงมือทำผลงานแต่ละชิ้นๆ เพื่อเผยให้เห็นโลกภายในของตัวเอง เส้นทางศิลปะนำเขาไปสู่สภาวะอุเบกขา และนำไปสู่การเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งรอบตัว ความคิดทั้งหมดนี้ถ่ายทอดออกมาในงานศิลปะ Universal Connections ที่เขานำมาแสดงบนขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส และเรา a day BULLETIN ชวนคุณมานั่งฟังบทสนทนาที่จะพาคุณกระโดดเข้าสู่กระบวนการความคิดอันสลับซับซ้อนของศิลปินคนนี้

 

คามิน

_

New Consciousness
_

มากรุงเทพฯ พบเจอความวุ่นวายต่างๆ แล้วคุณรู้สึกเหนื่อยไหม

สภาพเมืองเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ ก็ไม่ต่างกันนักหรอก เพียงแต่รูปแบบการใช้ชีวิตของผมที่เชียงใหม่ ผมมีหน้าที่การงาน และมีกิจกรรมร่วมกับครอบครัวที่ค่อนข้างเป็นกิจวัตรเซตไว้แล้ว นานๆ เข้ามากรุงเทพฯ ทีหนึ่ง ก็เหมือนเป็นนักท่องเที่ยว มาเยี่ยมเพื่อน มาทำธุระอะไรนิดหน่อย ถือว่าเป็นการมาเปิดรับข้อมูลอะไรใหม่ๆ

กิจวัตรของผมที่เชียงใหม่ ตื่นมาทำวิปัสสนา เสร็จแล้วก็ทำงานศิลปะ เพราะงานของผมเกี่่ยวข้องกับการค้นหาคุณค่าภายใน พอสนใจเรื่องแบบนี้ ก็ต้องทำวิปัสสนา ทำงานศิลปะ การทำงานศิลปะจึงถือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ชีวิต เรียนรู้สังคม เรียนรู้ธรรมชาติ ส่วนที่ผมฝึกวิปัสสนา ก็ไม่ใช่เพื่อหวังผลว่าเป็นคนดี ได้ขึ้นสวรรค์หรือบรรลุธรรม หรืออะไรแบบนั้น

ทำไมคุณถึงบอกว่าการฝึกวิปัสสนา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นคนดี

เพราะสำหรับผม สิ่งสำคัญมากกว่าการเป็นคนดีคือการทำความเข้าใจความจริง ซึ่งไม่ใช่แค่การเป็นคนดี ผมคิดว่าการฝึกจิตเป็นกระบวนการนำไปสู่ความจริง ซึ่งในที่สุดแล้วสิ่งที่ค้นพบอาจจะเป็นความดีก็ได้ หรือความเลวก็ได้ ความสุขก็ได้ หรือความทุกข์ก็ได้ กระบวนการฝึกเป็นการทำให้เกิดสภาวะของการเรียนรู้ที่พ้นไปกว่าจิตสำนึก เพราะปกติจิตสำนึกของคนเรารับรู้ไปตามประสบการณ์ที่สะสมมา เช่น คุณพบเจอสิ่งที่ไม่ชอบ คุณก็มักจะด่วนตัดสินเลยว่าไม่ดี ปฏิเสธทันที แต่ถ้าคุณพบเจอสิ่งที่ถูกใจ หรือคุณอาจจะมีผลประโยชน์ด้วย คุณก็จะว่ามันดี จิตสำนึกเหล่านี้แหละที่สะสมมาทุกวันๆ การฝึกฝนจะช่วยทำให้จิตใจเป็นกลาง หรืออาจเรียกได้ว่ามีอุเบกขา ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จะสุข ทุกข์ ดี เลว เราจะมองว่าเป็นเพียงความคิดปรุงแต่งขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดกับมันในฐานะอะไร

อุเบกขาในใจทำให้คุณมองโลกอย่างไร เวลามาเดินห้างสรรพสินค้าแล้วจิตใจไม่แกว่งไหวอะไรแบบนั้นเหรอ

(หัวเราะ) ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ผมก็มาได้ปกติถ้ามีธุระ พาครอบครัวมาดูหนัง กินข้าว ไม่ได้คิดว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่มันแตกต่างจากความรู้สึกสมัยเป็นวัยรุ่น ที่พอมีเวลาว่างก็ต้องไปเดินห้าง เพราะชีวิตไม่รู้ว่าจะทำอะไรมากกว่านั้น ไปดูเสื้อผ้า ดูสาวๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ดังนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปเดินบ่อยๆ ก็ได้ เพราะเรื่องที่เราสนใจจริงๆ ไม่ได้อยู่ในห้าง แต่อยู่ในหนังสือ อยู่ในงาน อยู่ภายในตัวเอง เมื่อเราใช้เวลาฝึกฝนใจเรา เราพ้นออกจากความชอบและไม่ชอบ สภาวะอุเบกขามีความเชื่อมต่อกันระหว่างโลกภายในใจของเรากับโลกภายนอก การเกิดของจักรวาลและสรรพสิ่งกับตัวของเรา เกี่ยวข้องกันอย่างไร โปรเจ็กต์งานครั้งนี้ก็พูดถึงสิ่งนี้

 

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครทำอะไร หรือเป็นอย่างไร ประเด็นอยู่ที่คุณเองเข้าใจหรือยังว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร และคุณต้องการอะไร

 

สภาวะอุเบกขา กับโปรเจ็กต์ Universal Connections เกี่ยวข้องกันอย่างไรช่วยอธิบายหน่อย

ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปอธิบายที่มาเสียก่อน คือผมบังเอิญไปดูสารคดีของช่อง BBC เรื่อง Fractal Geometry เกี่ยวกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ชื่อ Benoit Mandelbrot เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาอธิบายว่าทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติมีโครงสร้างที่ผลิตซ้ำตัวเองไปเรื่อยๆ เรียกว่า self similarity ยกตัวอย่างต้นไม้ที่มีลำต้นขึ้นมาแล้วแตกแขนงออกเป็นกิ่งก้าน ปลายกิ่งก้านเป็นใบไม้ ภายในใบไม้ก็มีก้านใบที่แตกแขนงออกไปในรูปแบบเดียวกัน หรือภูเขาใหญ่ที่เราเห็น เมื่อพิจารณาให้ดีๆ ตัดทอน ลบมุม แยกย่อยลงไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่ามันมีรูปแบบเดิมซ้ำๆ เขาจึงใช้แนวคิดนี้มาประยุกต์ในการสร้างเทคนิคด้านภาพในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ที่เราเห็นภาพแลนด์สเคปยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนไม่มีนักวาดคนไหนวาดได้ จนกระทั่งค้นพบแนวคิดนี้ เขาก็ใช้วิธีสร้างภาพที่มีโครงสร้างซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพแลนด์สเคปขึ้น ไม่ว่าจะภาพแม่น้ำ ภูเขา พอได้ดูสารคดีเรื่องนี้แล้วผมก็ตื่นเต้น อยากจะถ่ายทอดแนวคิดนี้ออกมาเป็นผลงาน

ในขณะที่ผมสนใจเรื่องจิตใจภายใน แต่แนวคิดเรื่อง fractal geometry ส่วนใหญ่เมื่อนำเสนอเป็นภาพ เขามักจะซูมขอบภายนอกของสิ่งต่างๆ ไปเรื่อยๆ เขาไม่เคยซูมอินให้เห็นภายในว่ามีรูปแบบหรือโครงสร้างที่ซ้ำๆ กันอย่างไร ผมก็สงสัยว่าภายในตัวเรา มีเรื่องราวนามธรรมอยู่ มีความรู้สึกนึกคิด จิตใจ แล้วสิ่งเหล่านี้อธิบายด้วย fractal geometry ได้ด้วยไหม งานศิลปะครั้งนี้ก็คือการซูมเข้าไปภายใน ซูมเข้าไปเรื่อยๆ จนเห็นพลังงานบางอย่าง บวกและลบ หยินและหยาง สุขและทุกข์ ดีและเลว เมื่อซูมเข้าไปในนั้นอีก เราก็จะเห็นสภาวะที่ไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลว เพียงแค่เฝ้าดูมันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็คือสภาวะอุเบกขา เมื่อซูมเข้าไปก็เห็นพลังงานข้างในนั้นอีก ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่าง คือความรักและความเมตตาต่อกัน ดังนั้น สิ่งที่เราเห็น ก็มาจากความเชื่อมโยงภายในและโครงสร้างซ้ำๆ ภายในเช่นเดียวกัน และผมเรียกว่า Universal Connections

คามิน

_

Inner World VS Outer World
_

แล้วทำไมต้องจัดแสดงงานชิ้นนี้บนรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ

ปกติเวลาขึ้นรถไฟฟ้า เราก็เห็นแต่ป้ายโฆษณาบริโภคนิยมทั้งหลาย และเราต้องรีบเดินทางไปทำงานกันใช่ไหมล่ะ จนลืมไปแล้วว่าความดี ความงาม ความจริง มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด แต่หลงลืมไป ผมแค่อยากจะให้ทุกคนรู้สึก เฮ้ย เราก็มีสิ่งเหล่านี้ภายในนะ เพียงแต่ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง เราก็ต้องเร่งยอด เร่งตัวเลข วิถีชีวิตประจำวันทำให้เราเคยชินกับสิ่งเหล่านี้จนลืมคุณค่าที่อยู่ภายในตัวเราทุกคน สิ่งนี้น่าจะถูกสื่อสารออกไปถึงคนรอบๆ ตัว ซึ่งก็แล้วแต่เวรแต่กรรมด้วยนะ ผมไม่ไปคาดหวังอะไรมาก อย่าไปคาดหวังว่างานของเราจะไปเปลี่ยนแปลงโลกอะไรขนาดนั้น นั่นอาจจะไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือทำงานให้ดีที่สุด แล้วคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุดเช่นกัน ซึ่งมันไม่ง่าย หน้าที่ของผมคงไม่ใช่การมานั่งอธิบายทุกอย่าง กับทุกคน ผมก็แค่ทำงานศิลปะของผมออกมาให้ดี

คุณเป็นศิลปินที่อยู่กินอย่างสันโดษที่เชียงใหม่ อาจพูดเรื่องพวกนี้ได้ เทียบกับพวกเราที่อยู่ในกรุงเทพฯ อาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด

คุณคิดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ คุณเห็นเศรษฐีแล้วบอกว่าเขาโชคดีกว่า ได้มีชีวิตสุขสบาย คุณไปเห็นพระแล้วบอกว่าเขาโชคดีกว่า ได้มีชีวิตสุขสงบ คุณไปเห็นขอทานแล้วบอกว่าเขาโชคร้ายกว่า เพราะเขามีชีวิตยากเข็ญ คุณคิดแบบนี้ไม่ถูก ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครทำอะไร หรือเป็นอย่างไร ประเด็นอยู่ที่คุณเองเข้าใจหรือยัง ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร และคุณต้องการอะไร ตรงนี้ต่างหากล่ะ เราไม่เห็นต้องมาเปรียบเทียบกันเลย บางคนมีเงินแยะแยะแต่ไม่มีเวลา บางคนไม่มีเงินเลยแต่มีเวลาเหลือว่าง และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่มีความสุขกว่าใคร มันอยู่ที่วิธีคิดและวิธีการมองโลกของแต่ละคนมากกว่า คุณมองเห็นเหตุและปัจจัยแค่ไหน คุณมองโลกอย่างไร คุณก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่เกี่ยวกับข้างนอก อาจเกี่ยวบ้างนิดหน่อย ถ้าคุณไม่มีปัญญาโลกภายนอกจะมีอิทธิพลต่อคุณ แต่ถ้าคุณเข้าใจโลก คุณมีปัญญา คุณจะมีอิทธิพลต่อโลกภายนอกมากกว่า

แล้วในตอนนี้ อิทธิพลภายนอกมีผลต่อคุณแค่ไหน

ผมยังไม่บรรลุ มันยังมีอิทธิพลต่อผมอยู่ ผมพูดอธิบายเรื่องพวกนี้ให้คุณฟังได้เยอะแยะเพราะอ่านหนังสือมา (หัวเราะ) แต่ยังทำจริงไม่ได้ทั้งหมดหรอก ทุกวันนี้ ลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง ผู้หญิง ของพวกนี้มีเข้ามาตลอด และผมก็อาจจะพลาดได้ตลอดเวลา อย่างที่บอกไว้ว่าผมไม่ใช่คนดีอะไร มีงานบางอย่างเข้ามาเสนอ ผมไม่ได้อยากจะทำ แต่ เฮ้ย ได้เงินเยอะนะ ผมก็เริ่มอยากทำขึ้นมาเลย ความโลภเข้ามาจู่โจม ตอนนี้ข้อเสนอแบบนี้ยังไม่เกิดขึ้น ผมก็เลยยังไม่ทำ แต่ก็ไม่ได้บอกว่า เฮ้ย ชาตินี้กูจะไม่ทำ เพราะข้อเสนอแบบนี้ยังไม่เข้ามา ไม่รู้หรอกว่าถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ จะมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ลูกผมอาจจะไม่สบาย หรือผมอยากจะได้เงินไปทำอะไรของผม ผมแค่พยายามฝึกฝนไป ทุกอย่างที่คิดที่ทำ รู้เท่าทันมันตลอดว่ากำลังหลอกตัวเองหรือเปล่า กำลังหลอกคนอื่นหรือเปล่า แต่ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่สื่อต่างๆ นำไปสร้างภาพ ผมอยากจะเป็นของผมแบบนี้แหละ เพื่อจะได้มีเสรีภาพในการมีชีวิต ในการตัดสินใจทำอะไร มีเสรีภาพที่จะทำผิดพลาดบ้าง ความผิดพลาดก็อาจจะเป็นความงามแบบหนึ่งในชีวิตคนเรา

 

ไอ้การที่คนเราจะค้นพบศักยภาพสูงสุดของตัวเองหรือไม่ ไม่สำคัญกับการที่เรามาทำความเข้าใจในปัจจุบันของเราตอนนี้ ถ้าคุณเอาแต่คิดไปข้างหน้า ก็เป็นอนาคตอีกแล้ว

 

ภายในตัวมนุษย์เรานี้มีอะไรอยู่กันแน่

ผมไม่ได้สนใจมนุษย์ในแบบภาพรวมทั้งหมด ผมสนใจแค่ตัวเองนี่แหละ ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมอยากเข้าใจว่าเกิดมาทำไม หรือเรื่องอะไรทำนองนี้ ผมก็ทำงานไปเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเอง แล้วก็เชื่อว่ามันอาจจะเป็นคำตอบร่วมกันของคนอื่นๆ ด้วยในฐานะที่เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน ผมทำความเข้าใจความเป็นมนุษย์ ผ่านประสบการณ์ตรงของตัวเอง ดังนั้น เวลาที่จะไปว่าใคร คนนั้นเลว คนนี้ขี้โกง คนโน้นเจ้าชู้ พอลองย้อนมาพิจารณาดูชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง เฮ้ย กูเป็นทุกอย่างที่ไปว่าเขาเลยนะ เพียงแต่ตอนนี้ผมควบคุมมันได้มากขึ้น เพราะอายุห้าสิบเข้าไปแล้ว ความต้องการทางเพศลดลงก็เลยเลิกเจ้าชู้ได้ ตอนนี้มีเงินมากขึ้นแล้วก็เลยคดโกงน้อยลง ตอนนี้มีผู้คนเฝ้าจับตามองอยู่เพราะมีชื่อเสียงแล้วก็เลยทำเลวได้น้อยลง พูดกันตรงๆ มันก็แค่นี้เอง ไม่ได้หมายความว่าผมเลวทรามน้อยกว่าคนอื่นเลย ทุกอย่างก็หล่อหลอมเรา

คามิน
ภาพ : ภาสกร ธวัชธาตรี

_

In Search of Purpose
_

ทำไมเราต้องตั้งคำถามกับชีวิต จะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ต้องมาคิดเรื่องอะไรพวกนี้ ไม่คิดมากเกินไป มีชีวิตไปเรื่อยเปื่อยตามสังคมน่าจะมีความสุขกว่า

คุณอาจจะตั้งคำถามผิด ความสุขที่คุณว่านั้นคือความสุขของใคร สุขแบบไหน สุขแบบมีเงินเยอะๆ สุขแบบมีเวลาให้ครอบครัวเยอะๆ สุขแบบมีเวลาไปเที่ยวไกลๆ ความสุขที่ว่ามาเหล่านี้เป็นความสุขตามวัฒนธรรม มันโดนตัดสินด้วยสังคมและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จะเอามาเปรียบเทียบกับความสุขแบบภายในใจของเราไม่ได้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าในธรรมชาติไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มันอยู่ที่ว่าคุณมองชีวิตอย่างไร แล้วการใช้ชีวิตที่เหลือของคุณจากนี้ไปจะดำเนินไปทางไหน บางคนบอกผมว่า เฮ้ย อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวปวดหัว แล้วเขาก็ไม่คิดเรื่องพวกนี้เลย แต่บางคนบอกผมว่า โอ้โฮ น่าสนใจมาก คิดแล้วทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย ทำให้เขาอยากมีชีวิตต่อไป ไม่งั้นเขาคงฆ่าตัวตายไปแล้ว แบบนี้ก็เป็นไปได้ ดังนั้น ความสุขมันก็แล้วแต่เป้าหมายปลายทางของแต่ละคน จะมาใช้ภาษาคำเดียวกันมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ พอเข้าใจ เราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบความสุขของเรากับใคร เราจะเป็นอิสระจากการที่ต้องคอยเรียกร้องให้คนอื่นมายอมรับหรือตัดสินเรา

แต่ถ้าเราตั้งคำถามถูกต้องมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว แต่จนเขา 40-50 ปี แล้วก็ยังค้นไม่พบ และเริ่มคิดว่าชีวิตนี้ไร้ความหมาย แบบนี้จะน่าเศร้าไหม

การค้นพบว่าชีวิตไร้ความหมายก็นับว่าเป็นคำตอบที่น่าสนใจ ขณะที่คุณค้นหาอยู่ และยังไม่ค้นพบ นั่นก็คือเป้าหมายในชีวิตแบบหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง การค้นพบว่าไร้ความหมายก็เป็นความหมายของคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเจอคำตอบที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย การอ่านหนังสือธรรมะหรือปรัชญา มันก็สามารถบอกอะไรเรามากมาย แต่ถ้าเราไม่เริ่มออกเดินทางเอง ไม่ตั้งคำถาม การจะเข้าใจธรรมะหรือปรัชญาก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นแค่การอ่านและเข้าใจในระดับภาษา ระดับข้อมูล แต่ประสบการณ์ส่วนตัวที่คุณได้เผชิญระหว่างการค้นหา นั่นแหละคือเสน่ห์ของชีวิต การออกจากกรอบ กล้าตกงาน กล้าผจญภัย ในที่สุด ณ บั้นปลายชีวิตคุณอาจจะมีความสุขมากกว่าคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะอย่างน้อยที่สุดคุณก็มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ครุ่นคิดไป สิ่งสำคัญไม่ใช่วัตถุ แต่คือการเติมเต็มภายในใจ

Fractal Geometry โครงสร้างคงที่เหล่านี้ คุณคิดว่าใครสร้าง ใครออกแบบ

ปฐมภูมิใช่ไหม? ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง กฤษณมูรติสนทนากับเดวิด โบห์ม เขาเรียกสิ่งนี้ว่า The Ground หรือปฐมภูมิ พลังงานหลังจากความว่างเปล่า บางคนถือว่าเป็นพระเจ้า บางคนถือว่าเป็นธรรมชาติ ในเมื่อมีสิ่งนี้อยู่ สิ่งนั้นก็ต้องมีอยู่ด้วย เพียงแต่เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ มันเลยความรู้ เลยประสบการณ์ เลยจิตสำนึกที่จะเข้าถึง เราก็ถือไปเลยว่าเป็นพระเจ้าเพื่อจะได้เป็นคำตอบเดียวของทุกสิ่ง ในยุคก่อนนั้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบอนุภาคและคลื่น พอเลยไปจากนั้นเราเรียกว่า God Particle เพราะอธิบายต่อไปไม่ได้แล้วว่าคืออะไร มาจากไหน เราก็เลยต้องอธิบายด้วยพระเจ้า เพราะมนุษย์อย่างเราไปต่อไม่ได้ ผมแค่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ได้พยายามไปแสวงหา แค่ใช้ชีวิตปกติไปนั่นแหละ ถ้ารู้ก็รู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เพราะมนุษยชาติค้นหาสิ่งนี้มาเป็นพันๆ ปีแล้ว

ถ้าอีกสัก 10-20 ปี เมื่อได้ฝึกฝนและทำงานนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะเจออะไร

อย่าไปคิดไกล ผมไม่คิดไกล ยี่สิบปีข้างหน้าก็คือตอนนี้นี่แหละ ตอนนี้เราทำอะไร มันก็กลายเป็นอีกยี่สิบปีข้างหน้า แล้วไอ้การที่คนเราจะค้นพบศักยภาพสูงสุดของตัวเองหรือไม่ ไม่สำคัญกับการที่เรามาทำความเข้าใจในปัจจุบันของเราตอนนี้ ถ้าคุณเอาแต่คิดไปข้างหน้า ก็เป็นอนาคตอีกแล้ว เป็นข้อจำกัดมากมาย ความจริงที่เกิดขึ้นตรงนั้นอาจจะเกินไปกว่าที่คุณจะมานั่งจินตนาการเอาตอนนี้ สู้คุณมาทำงานตรงนี้ ตอนนี้ให้ดีที่สุด เรียนรู้กับมันอย่างเต็มที่ ตั้งใจเต็มที่ ใช้สติปัญญาเต็มที่ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ เพราะนี่แหละคืออนาคตของคุณ และสำหรับผม เลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรในตอนนี้ อย่างเต็มที่ไปตามเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่ต้องไปเสียใจหรือดีใจ มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำเมื่อได้เกิดมา ใช้สติปัญญา แล้วมันจะไปทำให้เกิดอะไรขึ้น จะไปขับเคลื่อนอะไรได้บ้าง เราอย่าไปคาดหวัง ความสร้างสรรค์ที่แท้จริงต้องเป็นแบบฟรีฟอร์ม