คงจะไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมหลงใหลในแนวคิดการทำงานที่ไม่เหมือนคนชาติไหน ของคนญี่ปุ่น ที่มีระเบียบวินัย ความทุ่มเท และความจริงใจเป็นดีเอ็นเอของคนชาตินี้ แต่ในปัจจุบันที่โลกธุรกิจหมุนเร็วไม่แพ้การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ น่าคิดว่าคนญี่ปุ่นจะปรับตัวเพื่อรักษาตัวตนอย่างไรในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายเช่นนี้
เพื่อตอบคำถามที่สงสัยสงสัย เราเดินทางฝ่าการจราจรอันคับคั่งไปยังสำนักงานใหญ่ของ บมจ. โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) เพื่อพูดคุยกับ ชินคิจิ ไมค์ มิกิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ถึงมุมมองของเขาต่อการทำธุรกิจในเมืองไทย และความท้าทายที่เกิดขึ้นท่ามกลางความแตกต่างทางวัฒนธรรม
“
วัฒนธรรมในการทำงานของทุกๆ ประเทศมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งที่ผมทำคือนำเสนอข้อดีของคนญี่ปุ่นให้คนไทยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความตรงต่อเวลา หรือการขยันทำงานอย่างที่คุณเอ่ยถึง แต่ผมก็ไม่ต้องการจะยัดเยียดความเป็นญี่ปุ่นให้กับพนักงานที่นี่ เพราะท้ายที่สุด ทุกคนต่างก็มีวิธีจัดการชีวิตของตัวเอง
”
_
Cultural Differences
_
ทราบมาว่าคุณเกิดและเติบโตขึ้นมาในหลากหลายวัฒนธรรมมาก อยากให้คุณเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังสักหน่อย จะได้รู้จักกันมากขึ้น
ผมเกิดและเติบโตในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เรียกตัวเองว่าเป็น new second generation of Japanese American ทำให้ผมมีลักษณะนิสัยที่ผสมผสานกันระหว่างสองเชื้อชาติ ผมได้ย้ายกลับมาที่ญี่ปุ่น เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ และได้เข้าทำงานที่โตเกียวมารีน หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย นอกเวลาทำงาน ผมยังได้เข้าร่วมเล่นในทีมบาสเกตบอลของบริษัทด้วย หลังจากประจำอยู่ญี่ปุ่น 9 ปี ก็ได้ย้ายไปประจำที่ประเทศฟิลิปปินส์และกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง ก่อนจะย้ายไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาบ้านเกิด จนในปี 2014 ผมได้ขอมาประจำที่สาขาประเทศไทยจนถึงตอนนี้
การเป็นนักกีฬาช่วยเปลี่ยนมุมมองคุณต่อการทำงานหรือเปล่า
นี่เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะบาสเกตบอลคือกีฬาแบบทีม เรามีกลยุทธ์ที่ทุกคนในทีมต้องทำตาม แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการทำให้แต่ละคนในทีมแข็งแรงขึ้น ช่วยพัฒนาทักษะของแต่ละคนให้ดีขึ้น ดังนั้น กีฬาบาสเกตบอลจึงเป็นการหลอมรวมทั้งทักษะเฉพาะตัวและความเป็นทีมเวิร์กเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายคือ ‘ชัยชนะ’ ซึ่งก็ตรงกับการทำธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่
คุณเคยทำงานทั้งในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และไทย วัฒนธรรมในองค์กรของแต่ละที่แตกต่างกันอย่างไร
แตกต่างกันอย่างมากเลย (ยิ้ม) แต่ผมมีคติประจำใจในการทำงานคือ โปร่งใส (Transparent) และยุติธรรม (Fair) เนื่องจากทุกเชื้อชาติมีวัฒนธรรมและรากฐานที่แตกต่างกันไป ดังนั้น เราจึงต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นของความเป็นมนุษย์ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างไร นั่นก็คือการทำอะไรๆ ทุกอย่างต้องโปร่งใสและยุติธรรม ที่สำคัญต้องมีการสื่อสารที่ดีด้วยนะ ในฐานะหัวเรือใหญ่ของบริษัท ผมพยายามจะสื่อสารสิ่งที่ต้องการบอกออกไปให้พนักงานคนอื่นๆ เข้าใจง่ายและชัดเจนที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่มีใครเข้าใจผิด
พอจะยกตัวอย่างการทำงานแบบ ‘โปร่งใสและยุติธรรม’ ให้ฟังสักอย่างได้ไหม
ในอเมริกา เวลาได้รับใบสมัครงานของผู้สมัคร คุณจะไม่มีทางรู้ข้อมูลภูมิหลังใดๆ ของตัวผู้สมัครเลย ไม่ว่าจะเป็นเพศ สีผิว อายุ ศาสนา เพราะเราต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องการเลือกปฏิบัติ (Discrimination) สิ่งที่คุณจะได้รู้ก็คือข้อมูลพื้นฐานการศึกษาและคุณสมบัติของผู้สมัครเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความโปร่งใสและยุติธรรมอย่างหนึ่งในสังคมอเมริกัน
คนไทยมักมีภาพในหัวว่า บริษัทญี่ปุ่นต้องทำงานหนัก มีวินัย ตรงต่อเวลา และมีคุณภาพ คุณส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ในบริษัทของตัวเองหรือเปล่า
วัฒนธรรมในการทำงานของทุกๆ ประเทศล้วนแต่มีสิ่งที่เป็นข้อดีและข้อเสีย คนญี่ปุ่นเองก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย คนไทยเองก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย สิ่งที่ผมทำคือนำเสนอข้อดีของคนญี่ปุ่นให้คนไทยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความตรงต่อเวลา หรือการขยันทำงานอย่างที่คุณเอ่ยถึง แต่ผมก็ไม่ต้องการจะยัดเยียดความเป็นญี่ปุ่นให้กับพนักงานที่นี่ ผู้นำบางคนพยายามใส่ทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่นเข้าไปในตัวพนักงานของเขา มองว่าประเทศญี่ปุ่นต้องเป็นที่หนึ่ง แต่ผมไม่คิดแบบนั้น สิ่งที่ดีก็ส่งเสริมให้เขาทำ บางอย่างที่คนไทยดีกว่าญี่ปุ่นก็ให้เขาคงไว้ มันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างทั้งหมดหรอก ในองค์กรที่มีหลายเชื้อชาติ ลักษณะนิสัยของคนในนั้นก็ต้องหลากหลายอยู่แล้ว
มีข้อดีของคนไทยที่คุณอยากแนะนำให้คนญี่ปุ่นรู้จักหรือเปล่า
ผมชอบที่คนไทยเปิดเผย จริงใจ มีอะไรก็กล้าพูดออกมาตรงๆ เลยโดยไม่ต้องปิดบัง ผมมองว่านี่เป็นเรื่องที่ดีนะ
เคยประสบกับปัญหา culture shock ที่นี่บ้างไหม
ไม่มีนะครับ (นิ่งคิด) อ้อ มีอยู่ประการหนึ่งที่ผมเห็นแล้วแปลกใจ ผมเห็นคนไทยชอบดื่มกาแฟหรือน้ำอัดลมจากแก้วแล้วถือถุงพลาสติกอีกชั้น (หัวเราะ) แถวๆ ออฟฟิศของเราก็จะเห็นคนถือถุงที่มีแก้วกาแฟแบบนี้กันทุกวัน ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หรืออเมริกา นอกจากนี้ก็มีแต่เรื่องน่ารัก อย่างผมเป็นคนรักหมา มีหมาสองตัวที่ชอบพาไปเดินเล่นแถวอพาร์ตเมนต์ตรงซอยสุขุมวิท 23 ผมก็เจอคนไทยพาหมามาเดินเล่นเหมือนกัน เห็นคนไทยก็รักหมามาก เลยเป็นเรื่องโชคดีของผมไปด้วย คนไทยใจดีมากๆ (พูดภาษาไทย)
อยากรู้ว่าคุณบาลานซ์ชีวิตตัวเองอย่างไรระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว
นี่ก็เป็นคติของผมเหมือนกันนะ เราทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน บางคนจะแบ่งเลยว่า 8 ชั่วโมงในแต่ละวันคือเวลาทำงาน ที่เหลือเป็นเวลาส่วนตัว แต่ผมกลับไม่ค่อยแบ่งเรื่องงานกับเวลาส่วนตัวกันชัดเจนแบบนั้น อย่างวันหยุดที่อยู่กับลูกๆ ถ้าในหัวมีไอเดียเกี่ยวกับงานโผล่ขึ้นมา ผมจดเลยทันทีเพราะกลัวจะลืม มันจึงไม่ใช่แยกออกจากกันไปเลย อย่างผมกับภรรยา ผมก็ขอคำปรึกษาจากเขาในเรื่องงานและธุรกิจค่อนข้างเยอะ เพราะภรรยาของผมเคยมีประสบการณ์ทำงานธนาคารที่อเมริกา ซึ่งท้ายที่สุด ทุกคนก็มีวิธีจัดการชีวิตของตัวเอง ผมจึงไม่ได้บังคับให้พนักงานทุกคนต้องมาคิดเหมือนผม หลายคนแบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจน เพียงแต่ตัวผมเองทำไม่ได้ ขนาดเวลานอนผมยังคิดเรื่องงานเลย มันเลิกคิดไม่ได้จริงๆ (หัวเราะ)
“
ผมมีไอดอลคือ มิยะโมะโตะ มุซะชิ เขาเป็นสุดยอดซามูไรในตำนานของชาวญี่ปุ่น เขาเขียนข้อความไว้ว่า ‘อย่าเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไปแล้ว เพราะมันคือการตัดสินใจของคุณเอง’
”
_
A Good Company
_
คุณดูเป็นผู้นำที่มีความเข้าอกเข้าใจ และยอมโอนอ่อนผ่อนตามมากๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานในอเมริกาคืออย่าแสดงความโกรธต่อหน้าคนอื่นๆ เพราะในอเมริกา ถ้าคุณทำแบบนั้นมันคือการกระทำของเด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ ผมไม่เคยตะโกนหรือตะคอกในออฟฟิศเลย เราทุกคนให้ความเคารพกัน ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่ในตำแหน่งไหน ถ้าคุณโกรธ ขอให้คุณค่อยๆ หายใจเข้าหายใจออกสัก 5 วินาที หรือถ้าคุณโกรธมากๆ ก็ขอตัวไปห้องน้ำได้เลย (หัวเราะ)
ดังนั้นสไตล์ของการเป็นผู้นำของคุณคืออะไร
สมมติว่าบริษัทนี้กำลังเดินทางไปจุดหมายที่หนึ่ง ผมให้ทั้งรถและเลนถนน บางคนอาจจะขับรถไม่เก่ง ผมจึงให้เลนถนนเพื่อที่เขาจะได้ไม่ตกไหล่ทาง แต่ผมจะไม่ใช่ผู้นำประเภทที่คอยบอกทุกสิ่งทุกอย่าง ใครที่ขับรถไม่เป็น คุณต้องพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน ถ้าสุดท้ายแล้วไม่ได้จริงๆ ก็มาหาผม ผมถึงค่อยช่วย
ได้ยินมาว่าคุณนำแนวคิดของซามูไรมาใช้ในการทำงานด้วย
ผมมีไอดอลคือ มิยะโมะโตะ มุซะชิ เขาเป็นสุดยอดซามูไรในตำนานของชาวญี่ปุ่น เล่ากันมาว่าก่อนเขาเสียชีวิต 1 สัปดาห์ เขาเขียนข้อความไว้ว่า ‘อย่าเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไปแล้ว เพราะมันคือการตัดสินใจของคุณเอง’ เราตัดสินใจอยู่ทุกๆ วินาทีแหละครับ เล็กหรือใหญ่แตกต่างกันไป ดังนั้น ไม่ว่าผลจะเป็นความล้มเหลวหรือความสำเร็จ มันเกิดจากสิ่งที่คุณทำทั้งนั้น แต่ถ้าคุณไตร่ตรองทุกอย่างที่ทำอย่างดีแล้ว จะดีหรือจะร้ายก็ไม่ต้องเสียดายมันหรอก
แปลว่าคุณไม่เคยรู้สึกเสียดายอะไรเลยหรือ
(หัวเราะ) ก็มีบ้างครับ แต่ไม่บ่อยหรอก ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็เช่น ในเกมบาสเกตบอล บางเกมเราควรจะชนะ แต่เรากลับแพ้ ผมควรจะชู้ตให้ได้สามแต้ม แต่ก็พลาด รู้สึกเสียดายเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เราก็มาเริ่มเล่นกันใหม่
“
เวลาผมมาอยู่ที่เมืองไทย ผมรับรู้ได้ถึงความเป็นกันเองและเรียบง่าย ผมขอเรียกว่า ‘Sabai Energy’ (สบายเอเนอร์จี้) ละกันครับ ผมมองว่าเมืองไทยก็มีอนาคตที่สดใสไม่แพ้ญี่ปุ่น การได้ทำงานในประเทศไทยสำหรับผมจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากๆ
”

_
Business and Society
_
คุณเห็นการเติบโตของตลาดประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างไรบ้าง
ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเลย จากที่ผมได้เดินทางไปประเทศเหล่านี้ ทุกที่กำลังเร่งพัฒนาทางเศรษฐกิจกัน นี่ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจและยังใหม่อยู่ ล่าสุดโตเกียวมารีนเพิ่งเข้าไปตั้งสำนักงาน ณ กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา ที่นั่นมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ต้องการการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เราจึงเห็นการลงทุนจำนวนมากที่มาจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะมีเติบโตขึ้นอีกมากหาก AEC เกิดขึ้น ดังนั้น เราจึงน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในแถบลุ่มน้ำโขงในช่วงปีสองปีนี้
จากประสบการณ์ของคุณ พฤติกรรมผู้บริโภคของคนไทยต่างจากญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง
ผมว่าธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มาลงทุนในประเทศไทย จะได้เจอกับไลฟ์สไตล์ของคนใช้รถที่แตกต่างจากเวลาคุณไปเวียดนามหรือฟิลิปปินส์ที่ท้องถนนเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซค์ ตลาดยานยนต์มันจึงค่อยๆ โตจากมอเตอร์ไซค์ก่อน แล้วจึงเป็นรถยนต์สี่ล้อ แต่ในเมืองไทยเหมือนว่าเราได้ข้ามยุคมอเตอร์ไซค์ไปแล้ว มีทั้งผู้ใช้รถสองล้อและสี่ล้อบนถนน ตลาดยานยนต์เมืองไทยแม้จะมีช่วงซบเซาบ้าง แต่ปีนี้ก็มีแนวโน้มการฟื้นตัวดีขึ้น
สุดท้ายนี้ คนไทยจำนวนมากชอบและชื่นชมความเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นความมีระเบียบวินัยและสุภาพ ในฐานะที่คุณทำงานที่นี่มาหลายปี คุณมีความเห็นอย่างไรบ้าง
ผมรู้สึกว่าเมืองไทยและคนไทยเต็มไปด้วยพลังนะ ถึงผมจะเป็นคนญี่ปุ่นและภูมิใจกับประเทศตัวเอง แต่เวลาผมมาอยู่ที่เมืองไทย ผมรับรู้ได้ถึงความเป็นกันเองและเรียบง่าย ผมขอเรียกว่า ‘Sabai Energy’ (สบายเอเนอร์จี้) ละกันครับ ผมมองว่าเมืองไทยก็มีอนาคตที่สดใสไม่แพ้ญี่ปุ่น การได้ทำงานในประเทศไทยสำหรับผมจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก