เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเข้าใจชีวิตของ ‘เอม’ – ภูมิภัทร ถาวรศิริ ในวัยกำลังเข้าสู่เลขสาม

        ช่วงเย็นที่เราเดินทางมาถึงที่พักของ ‘เอม’ – ภูมิภัทร ถาวรศิริ เขาส่งข้อความมาบอกว่าขอเลทเล็กน้อย ระหว่างที่นั่งรอเขาอยู่ที่ล็อบบี้เราก็มองไปที่ถนนซึ่งเป็นช่วง rush hour พอดี และรู้ว่าเขากำลังฝ่าการจราจรที่หนาแน่นของถนนทองหล่อมาพบกับเราอย่างเร่งรีบ

        ใช้เวลาไม่นานรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็เลี้ยวเข้ามาจอด ชายหนุ่มที่เราเคยเห็นจากในหนังและซีรีส์ก็ก้าวลงมาพร้อมกับดอกไม้ในมือช่อใหญ่ และเดินเข้ามาขอโทษที่ตัวเองมาช้า

        “วันนี้ผมขอคุยเรื่องความฉิบหายของชีวิตนะ” เขาบอกก่อนจะพาเราขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังห้องพัก

        เราพยักหน้าตกลง และแซวว่าเจอรถติดแค่นี้จะหดหู่อะไรขนาดนั้น เขาหัวเราะแล้วบอกว่าไม่ใช่แค่รถติดหรอก แต่มันเป็นสิ่งที่เขาพบเจอมาตลอดเวลาจนอายุกำลังจะเข้าสู่วัยสามสิบปี

        ถ้าไม่ได้ยินกับหูเราคงไม่เชื่อว่านักแสดงที่รับบทเด็กวัยรุ่นเลือดร้อน มีปมปัญหาในใจตลอดเวลา และทำตัวแบบไม่สนโลกคนนี้กำลังเข้าสู่วัยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราจึงเข้าใจแล้วว่าบทสัมภาษณ์ของเขาในช่วงปีที่ผ่านมาทำไมถึงมีความคิดความอ่านที่แตกต่างจากวัยรุ่นคนอื่นๆ มากนัก

        การมาเยือนบ้านของเขาวันนี้ จึงเป็นเหมือนการเข้าไปทำความรู้สึกโลกในความคิดของผู้ชายคนนี้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอนั่นคือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย

+ เกิด

        เอมเล่าว่าช่วงที่ผ่านมาเขารับงานละครเวทีเรื่อง nowhereland. : THE EDEN ดินแดนไร้แห่งหน โดยเป็นการเอาศาสตร์ละครเวทีแบบ Immersive Theater มาเจอกับศาสตร์จิตวิทยาสาย คาร์ล ยุง ซึ่งตัวละครจะสามารถตอบโต้กับคนดูได้ เขาบอกเราว่าต้องใช้พลังงานอย่างหนักจนเหนื่อยมากๆ เราจึงแซวเขาไปว่ารู้ว่าเหนื่อยแล้วพาตัวเองไปเจออะไรแบบนั้นทำไม

        “เพราะเราเกิดมาแล้วไง” เขาหัวเราะพร้อมกับเอาดอกไม้ที่ตัวเองซื้อมาค่อยๆ จัดลงไปในแจกัน

        “แล้วเราดันรู้ตัวเองแล้วว่าชอบอะไร ดังนั้นมันก็มีความสุขที่ได้ทำแต่มันก็เหนื่อย การทำงานที่เรารักก็เป็นเหมือนเราเสพติดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นร่างกายเราอาจจะยังไม่รู้ตัวเพราะใจเรากำลังเพลิดเพลิน มันเป็นเรื่องลึกลับเหมือนกันนะ แต่สุดท้ายเดี๋ยวสิ่งนั้นก็ส่งผลกับร่างกายตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมอยากเติมพลังให้กับตัวเอง ผมก็จะอ่านหนังสือ ดูหนังหรือไม่ก็เดินเล่น และส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาอยู่คนเดียว”

        การที่รู้ตัวเองว่าชอบอะไรตั้งแต่อายุไม่เยอะเป็นเรื่องที่อิจฉาโดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีหลายปัจจัยทำให้เราเหมือนจะรู้ว่าสิ่งนี้ใช่ แต่จริงๆ แล้วอาจไม่ใช่เลยก็ได้ 

        “เรื่องนี้เป็นความน่ากลัวที่ผมว่ามีในคนทุกเจเนอเรชั่น อย่างผมก็โตมาด้วยคำที่บอกว่า “คุณต้องมีฝันนะ แล้วคุณต้องมีฝันที่แข็งแรงมากๆ ด้วย แล้วลงมือปั้นความฝันนั้นให้เป็นจริงให้ได้” ตอนนี้ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญเท่าการทำแต่ละวันให้มีความสุข ซึ่งความฝันนั้นคือความสุขของเราจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คำถามของผมคือถ้าเราทำตามความฝันได้สำเร็จแล้วอะไรคือสิ่งต่อไปที่ต้องทำต่อ ผมเชื่อว่ามีบางคนที่เขาไม่ได้มีความฝันที่ใหญ่โต แต่เขาถูกครอบโดยความคิดที่ว่าคุณต้องมีความฝัน คุณต้องทำให้ได้ แล้วก็กลายเป็นความกดดัน และไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริงด้วยหรือเปล่า”

        ‘ความสุข’ คำนี้ช่างเหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่หรือรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่ต้องเผชิญกับความสับสนในการใช้ชีวิตจากความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นในรอบทศวรรษนี้ เราพูดพร้อมกับมองดอกไม้ที่เขาจัดในแจกันจนเกือบเสร็จเรียบร้อย เขาหยุดมองดอกไม้ช่อนั้นอยู่สักพักพร้อมกับถอนหายใจ

        “ผมคิดว่าการทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนฝั่งคงไม่สามารถเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผม สิ่งที่ทำได้คือพยายามเท่าที่ตัวเองทำได้อย่างดีที่สุด เพื่อวันหนึ่งลูกหลานได้เปิดหนังสือประวัติศาสตร์มาอ่านแล้วเจอการต่อสู้ของคนรุ่นผมว่าพวกเราพยายามต่อสู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ตอนนี้เราไม่มีทางออกอื่นก็ต้องอยู่กับความสับสนนี้ไปจนตาย เพราะกว่าเรื่องระบบบางอย่างจะถูกเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ก็ต้องมีการฟื้นฟูหน้าดินกันอีกเป็นสิบๆ ปี การมีความสุขนี้ยังไงก็ไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผมแน่ๆ แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดในวันนี้เพราะเราเกิดมายุคนี้แล้ว ก็ต้องให้ได้เท่าที่จะเป็นไปได้”

        ภาพของนักแสดงคนนี้คือ คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าแสดงออก มีความขบถในตัว 

        แต่จะมาจากการเรียนรู้และเพราะเติบโตจากฮีโร่ของเขาตั้งแต่เด็กๆ หรือไม่นั้น?​ เขาหัวเราะออกมาแล้วบอกว่าเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่วันนี้เขาไม่ไ่ด้เป็นแบบนั้นแล้ว

        “เราต่างถูกครอบโดยความฝันและความเชื่อว่า แกต้องลุกออกมากล้า ออกมาซ่า ทำให้โลกรู้ว่าประเทศไทยมีดี ซึ่งที่เขาพูดมาวันนี้ผมยังไม่รู้ความหมายนี้เลย (หัวเราะ) เราอยู่กับระบบที่ถูกประโคมแต่เรื่องความสำเร็จในชีวิต ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคนที่เคยเป็นฮีโร่ของเราในยุคหนึ่งเขาก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ส่งให้ผมเป็นผมในวันนี้ แต่สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงทางความคิดก็เกิดขึ้นได้

        “นั่นเป็นเพราะสื่อเองพยายามทำให้เขาไม่ใช่มนุษย์ พยายามทำให้เขาเป็นเหมือนอนุสาวรีย์ ซึ่งในความเป็นจริง คนเราสามารถเปลี่ยนความคิดกันได้ แม้ว่าหลังจากนี้ผมสัมภาษณ์ชิ้นนี้ของผมจะเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไปในอินเทอร์เน็ต และธรรมชาติของบทสัมภาษณ์นั้นทำให้คนอ่านคิดว่าสิ่งที่ผมพูดไปจะคงเดิมอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ตัวผมในวันพรุ่งนี้อาจจะไม่คิดแบบนี้แล้ว ขนาดผมกลับไปอ่านบทสัมภาษณ์ของตัวเองเมื่อปีก่อนยังรู้สึกว่าแกพูดบ้าบออะไรเนี่ย แต่ผมก็ยอมรับว่าบทสัมภาษณ์แต่ละครั้งคือการบันทึกความคิดของผม ณ ช่วงเวลาหนึ่งจริงๆ”

        เขาเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อทฤษฎีที่ว่าถ้านำลิงออกมาจากถ้ำของเพลโต (Plato’s Cave) พวกมันจะเชื่อแต่สิ่งที่อยู่ข้างในถ้ำตลอดไป ซึ่งมนุษย์เองก็เหมือนกันที่ไม่จำเป็นว่าวันนี้เราจะพบว่าตัวเองตื่นรู้แล้ว และจะเปลี่ยนกลับไปคิดแบบเดิมไม่ได้

        “ผมว่ามันไม่แฟร์เลยหากเราจะไปบอกว่าคนนี้มืดบอด ส่วนฉันคือคนที่ตื่นรู้ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าอีกไม่กี่วันคุณอาจจะเปลี่ยนความคิดหรือความเชื่อของตัวเองก็ได้”

+ แก่

เราคุยกันต่อ ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และไม่ใช่แค่เรื่องความคิด แต่เป็นเรื่องของวัย ที่บ่อยครั้งเรามักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อน แล้วต่อมา เราก็เผลอทำแบบเดียวกันนั้นกับคนรุ่นต่อไป 

        “เป็นเรื่องปกติที่คนทุกเจเนอเรชั่นจะมองไปที่คนรุ่นต่อไปว่าเขาจะโตไปอย่างไร ผู้ใหญ่ก็จะมองว่าคนรุ่นผมโตมาในยุคที่มีความพร้อมมากกว่าพวกเขา แต่พอถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเด็กที่เกิดมาแล้วเจอแทบเล็ตเลยเขาจะเป็นคนแบบไหนในอีกสามสิบปีข้างหน้า ต่างคนต่างมองปัญหาของคนรุ่นหลังด้วยความห่วงใย ความประหวั่นและเกรงกลัวด้วยกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ก็น่าเป็นห่วงจริงๆ นะ เพราะถ้าชีวิตของคนเจเนอเรชั่นก่อนคือการได้ออกไปท่องโลก ได้เรียนรู้โลกกว้าง แต่กับน้องๆ ที่เรียนจบด้วยการเรียนทางคอมพิวเตอร์ ไม่เคยได้เจอหน้าเพื่อนจริงๆ หรือจบออกมาแล้วเจอทุกอย่างที่ถูกปิดช่องทางไว้หมดเลย ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อสิ่งนี้เต็มไปด้วยความสงสัยมากๆ”

        เรื่องวัยก็ส่งผลถึงโอกาสในการทำงานสำหรับเขาด้วยเหมือนกัน แม้ว่าตัวชายคนนี้จะมีดีกรีเป็นนักแสดงมากความสามารถก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องคิดหนักว่าจะเอาดีทางการอยู่เบื้องหน้ามากกว่าที่จะไปทุ่มเทกับงานเบื้องหลังอย่างที่ตั้งใจ

        “สำหรับผมงานเบื้องหลังยังรอได้ เพราะงานแสดงมันสามารถทำได้แค่ช่วงอายุนี้ที่ทำได้ในประเทศนี้ เราทำงานแสดงไปก่อนแล้วค่อยๆ เรียนรู้การกำกับภาพยนตร์ไปก่อนได้ เพราะงานผู้กำกับผมเชื่อว่าถ้าเรายิ่งรอเราจะยิ่งคม ยิ่งเข้าใจโลก แต่งานแสดงนั้นไม่สามารถรอได้ เพราะประเทศนี้จะมีบทให้เราเล่นได้แค่ในช่วงนี้ ให้เรายังทำมาหากินได้เงินมาใช้ชีวิตได้”

        แต่เขาก็ยอมรับว่าตัวเองก็เลือกบทที่จะรับแสดงยากกว่าเมื่อก่อน เพราะหลังจากที่เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจากซีรีส์เด็กใหม่ 2 เขาได้บทดราม่าเข้มข้นอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะบทคนรวยที่นิสัยไม่ดีซึ่งเริ่มจะกลายเป็นภาพจำของเขาไปแล้ว

        “ช่วงหนังเรื่อง One for the Road วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ ออกฉาย มีคนส่งบทคนรวยที่ทำตัวเลวๆ ส่งมาให้ผมเยอะมากๆ ผมไม่อยากเล่นบทเหล่านั้นแล้วในวันนี้ เพราะคาแร็กเตอร์ของตัวละครจะคล้ายกันจนเกินไป แต่ถ้าเป็นอีกสิบปีข้างหน้าผมอาจจะรับก็ได้ เพราะวันนั้นผมจะเป็นคนอีกแบบแล้ว และตัวละครประเภทนี้ผมรู้สึกว่ามีความเซ็กซี่กว่าตัวละครเอกด้วยซ้ำ”

        แล้วบทแบบไหนที่จะซื้อใจคุณได้ในวันนี้ – เราถามต่อทันที

        “ปกติผมรับบททุกชิ้นมาอ่านอยู่แล้ว แต่จะรู้สึกร่วมไปด้วยหรือเปล่าต้องว่ากันอีกที ยอมรับว่าตอนนี้ผมปฏิเสธบทไปถึง 90% จากบทที่ส่งเข้ามา แม้แต่ซีรีส์วายผมก็อ่านนะ แต่ยังไม่รู้สึกสนใจ ถ้าจะเล่นซีรีส์แนวนี้ผมอยากได้บทประมาณตัวละครของพี่นุชชี่ (อนุชา บุญยวรรธนะ) เพราะตัวละครที่ผมเล่น ผมจะใส่ความเป็นเควียร์ไว้ในบุคลิกของตัวละครนั้นอยู่แล้ว ผมแฮปปี้กับโลกของเควียร์มากๆ ดังนั้นถ้าผมต้องเล่นเป็นตัวละคร LGBTQ++ ต้องไม่ใช่การขายคู่จิ้นหรือเซอร์วิสแฟนคลับ แต่ผมเข้าใจเรื่องนี้นะว่าเป็นอุปสงค์และอุปทานอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ผมเล่นผมอยากทำอะไรที่สนุกกว่าการได้เซอร์วิสแฟนคลับ และสามารถสร้างความตระหนักรู้ขึ้นมาจริงๆ ได้ในสังคม”

        “ถ้าเขาคิดจะทำหนังหรือละครแนวนี้ผมคงไม่ใช่ตัวเลือกเขาแต่แรกหรอก” เขาตอบพร้อมกับหัวเราะลั่นเมื่อเราถามไปว่าแล้วบทที่ถูกเรียกว่า ‘ละครน้ำเน่า’ เขาสนใจอยากลองบ้างไหม

        “ผมไม่สามารถนิยามความหมายของละครน้ำเน่าได้นะ เพราะเนื้อเรื่องเชยๆ แต่ถ้าได้เควนติน ทาแรนติโนมากำกับ ก็จะออกมาอีกรสชาติหนึ่งเลยนะ ดังนั้นสำหรับผมละครน้ำเน่าเป็นคำที่จำกัดสถานที่และระยะเวลาช่วงหนึ่งไว้มากกว่า แต่ถ้าให้เล่นก็ขอบทอย่าง ‘หัวใจทรนง’ ของพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) คือ ทำออกมาให้เลยว่ากำลังล้อเลียนฟอร์มของละครแนวนี้ แต่สุดท้ายผมก็รับปากไม่ได้หรอกว่าจะรับงานแบบไหน แต่สำหรับโปรเจ็กต์ที่สนใจจริงๆ จะเป็นงานของนักศึกษามากกว่า”

        เราลองขยับโจทย์ให้ง่ายขึ้นมาอีกหน่อยว่าถ้าเป็นหนังฟีลกู้ดดูสบายเขาก็ยังส่ายหัว

        “ผมไม่เคยเห็นภาพของตัวเองเลยว่าจะสามารถเป็นนักแสดงที่มีรูปนำเด่นอยู่บนโปสเตอร์ได้ กลับกันผมเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ในโปสเตอร์มากกว่า ซึ่งหากจะมีรูปผมขนาดใหญ่บนโปสเตอร์หนังเรื่องนั้นน่าจะเป็นแนวลึกลับจิตวิทยามากกว่าหนังรักอารมณ์ดี”

        เมื่อพูดถึงหนังรัก เราจึงถามว่าหนังรักสำหรับคนแบบเขาคือเรื่องอะไร คำตอบคือ Wheel of Fortune and Fantasy (2021) โดยเขาให้เหตุผลว่าชอบที่ผู้กำกับ ริวสุเกะ ฮามากุชิ สามารถเก็บเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวมาเล่าเป็นหนังที่งดงามได้ และอยากให้หนังไทยทำหนังแนวนี้ออกมาเยอะๆ ซึ่งปัญหาคือเรื่องของบทภาพยนตร์ที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเท่าที่ควร

        “ทุกคนอยากได้บทที่ดีและเร็ว แต่การพัฒนาบทนั้นต้องใช้เวลา” เขาบอก

        “บ้านเราคนเขียนบทมีเยอะแต่ไม่มีทุน การพัฒนาบทต้องใช้ทุนและเวลา เราไม่สามารถเขียนบทหนังที่ดีได้ในเวลาหกเดือน เราต้องใช้เวลาสองปี แต่เวลาสองปีนั้นก็ต้องมีเงินทุน มีเวลาให้เขียนบท มีเงินที่หล่อเลี้ยงเขาได้ พอไม่มีก็เลยได้แต่บทที่ออกมาเป็นอย่างที่เห็น นายทุนเขาจะเห็นแต่แค่เรื่องโปรดักชัน นักแสดง ผู้กำกับ แต่ไม่เคยรู้ว่าบทที่ดีก็มีต้นทุนของมันอยู่”

        “ตอนนี้ผมแก่แล้วผมขอเลือกในสิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ” เขาพูดสรุป โดยที่เรายังแย้งว่าอายุแค่จะขึ้นเลขสามเองทำไมถึงคิดว่าแก่แล้ว

        “ผมรู้สึกตัวเองว่าแก่แล้วจริงๆ ผมอาจจะโชคดีกว่านักแสดงคนอื่นที่เขาไม่สามารถเลือกงานได้ มีอะไรเข้ามาก็ต้องรับไว้ทั้งหมด ผมสามารถเลือกงานได้เท่าที่ตัวเองจะอนุญาตได้ ดังนั้นบทที่ส่งเข้ามาแล้วผมขอไม่รับ ผมจะบอกว่าขอไม่รับเพราะอะไร แต่ขอบคุณมากๆ นะที่คิดถึงผม และหวังว่าหากมีงานต่อไปที่เหมาะสม ผมหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกัน ผมรู้สึกยินดีทุกครั้งที่มีคนนึกถึงและอยากให้ผมเล่นครับ”

+ เจ็บ

        มาถึงตรงนี้ใครจะไปคิดว่าการมีอาชีพนักแสดง การมีชื่อเสียง ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เขาต้องรับมือไม่ต่างกับคนที่ประกอบอาชีพอื่นๆ เลย

        “ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรือนักแสดงก็ตาม เราต่างต้องเจอกับความฉิบหายของชีวิตเพื่อขัดเกลาตัวเองด้วยกันทั้งนั้น” เขาบอกพร้อมกับหยิบนกหินที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมาลูบ

        “แม้แต่ดาราที่เราเห็นก็มีความพินาศที่ต้องรับมือ ยิ่งคุณดังคุณก็ยิ่งไม่ใช่มนุษย์ เอาแค่เดินขึ้นคอนโดมิเนียมกับใครก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนดังมากๆ แล้วบังเอิญว่ามีนักข่าวเห็นคุณก็ต้องออกมาพูดกับสื่อว่าขอโทษด้วยนะครับที่ผมพาเพื่อนขึ้นคอนโดมิเนียม ผมยังโชคดีที่ตัวเองไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้น ไม่มีหนี้สิน แต่ก็ไม่ได้มีเงินเหลือกินเหลือใช้ ยังพอสามารถซื้อกาแฟร้านที่ตัวเองชอบได้ ซื้อรองเท้าที่อยากได้ แล้วก็ค่อยประหยัดลงหน่อยในเดือนนี้ ที่สำคัญคือยังโชคดีกว่าเพื่อนร่วมอาชีพอีกหลายคนมากๆ มีหลายคนที่ผมรู้จัก เขารักในงานของตัวเองแต่ไม่สามารถดำรงชีพด้วยการเป็นนักแสดงได้

        “ผมเริ่มต้นงานชิ้นแรกที่ไม่ได้เป็นหนังสตูดิโอใหญ่ ผมจึงรู้จักนักแสดงที่คนทั่วไปแทบไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่พวกเขามีความสามารถเยอะมากๆ ผมโคตรเจ็บปวดที่เห็นว่าไม่มีใครมองเห็นพวกเขาเลย ถ้ามีโอกาสผมจะแชร์เรื่องราวของพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเข้าใจว่าคนแต่ละคนจะมีเวลาผลิบานของตัวเองไม่เท่ากัน ขนาดแอนโธนี่ ฮอปกินส์ กว่าเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังก็ตอนอายุห้าสิบปี ดังนั้นไม่มีอะไรสามารถการันตีว่าถ้าคุณเลือกทำงานศิลปะ เส้นทางสายนี้จะตอบแทนคุณอย่างสมน้ำสมเนื้อได้ในวันไหน”

        วันนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ผลิบานของคุณได้แล้วหรือยัง – เราถามกลับ

        “ผมไม่เคยคิดว่าตอนนี้คือช่วงผลิบานของตัวเอง ผมคิดว่าช่วงเวลานั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นในชาตินี้ด้วยซ้ำ” เขาพูดอย่างจริงจัง

        “ผมคิดว่าถ้าตัวเองดังคงดังไปนานแล้ว ผมสามารถตายได้โดยที่ตัวเองไม่ดัง แต่ผมอยากมีชื่อเสียงในหมู่คนที่ทำงานในแวดวงเดียวกัน ผมจะมีความสุขมากหากคนที่ผมชื่นชอบผลงานของเขา แล้วเขาชื่นชมผลงานของผมกลับ ผมต้องการแค่นี้ เพราะที่ผ่านมาเวลาผมกรอกในใบเข้าเมืองเวลาบินไปต่างประเทศในช่องอาชีพผมจะใส่ว่าฟรีแลนซ์ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นดาราเลย”

        ทั้งๆ ที่สามารถเลือกทางเดินของตัวเองใหม่ที่อาจจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ได้สิทธิพิเศษจากการเป็นนักแสดงมากมาย แต่ถ้าเขาขอเลือกที่จะไม่รับข้อเสนอเหล่านั้น

        “การได้รับอภิสิทธิ์แบบนั้นมันหอมหวานก็จริงแต่มันก็อยู่แค่ 10 วินาทีเท่านั้น เช่น ผมไปงานเปิดตัวภาพยนตร์ มีรถตู้มารับ มีคนมาคอยดูแลไปซื้อกาแฟให้ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่เราไม่ต้องเดินไปซื้อเอง แต่เขาก็ต้องเหนื่อยเพราะต้องไปซื้อแทนเรา ผมยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ได้รับสิทธิพิเศษมากมายขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเหนื่อยเพราะเรา และจะดีกว่าไหมถ้าผมไม่เอาสิ่งนี้แล้วทำให้พวกเขาสบายขึ้น เขาจะได้มีแรงมีเวลาไปโฟกัสงานอื่นที่ทำให้ทีมนี้ทำงานได้ดีขึ้น แต่สำหรับคนอื่นที่เขาต้องการก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะสิทธิพิเศษนี้มันถูกออกแบบมาเพื่อให้นักแสดงรู้สึกปลอดภัยในการทำงาน หลายคนพอรู้สึกตัวเองปลอดภัยเขาก็สร้างงานที่ดีออกมาได้ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่จริตของผม”

        เขาหัวเราะลั่นอีกครั้งหลังจากที่เราแซวไปว่าที่เขาต้องเหนื่อยที่เดินไปซื้อกาแฟ เพราะต้องคอยระวังทางเดินที่แย่จากฟุตบาทของบ้านเราหรือเปล่า

        “เรื่องนี้เราคงต้องคอยให้กำลังใจกันแล้ว” เขาหัวเราะอีกรอบ

        “เรื่องทางเท้ามันเจ็บปวดกว่านั้น ตรงที่การอยู่ในเมืองนี้ทำให้คนไม่สามารถตกหลุมรักกันได้ ทุกครั้งที่เห็นหนังไทยที่มีฉากเดินคุยกัน ผมจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจทันที มันอาจจะมีสถานที่ที่ทำให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นได้ แต่เมืองที่เราอยู่ไม่ได้มีผังเมืองที่เห็นคนแต่ละคนเท่ากัน ฟุตบาทข้างทางเขาไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อเอื้อให้เราเดิน คนที่สั่งให้ทำก็ไม่เคยมาเดินและไม่จำเป็นต้องเดินด้วย แต่คนทั่วไปต้องเดินไง ทางเท้าในบ้านเราจึงไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนเลย และยิ่งผลักคนให้ออกห่างจากกันด้วย ส่งผลให้คนไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้” 

        แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้เกลียดบ้านตัวเองเลยสักนิดเดียว

        “ผมรักที่นี่ เพื่อนๆ ผมก็ไม่ได้เกลียดบ้านหลังนี้ พวกเราอยากทำให้เมืองนี้เป็นสถานที่ที่ดีแต่ก็คงต้องอยู่กันแบบนี้จนตายจากกันไปก่อน”

        เขาถอนหายใจเล็กๆ

+ ตาย

        เอมเคยพูดว่าตัวเองวางแผนการตายเอาไว้แล้ว โดยเป็นภาพตัวเองอาศัยอยู่ในบ้านริมทะเลช่วงบั้นปลาย หรือไม่ก็สิ้นใจในกองถ่ายหนังหรือตอนทำงาน แต่วันนี้เขาเสริมถึงสิ่งที่รู้ตัวว่าเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ โอกาสที่จะตายอย่างโดดเดี่ยวก็มีอยู่สูงมาก

        “ผมไม่สามารถมีภาพที่ตัวเองใกล้ตายแล้วมีคนรายล้อมอยู่รอบตัว ซึ่งมันคงจะดีหากภาพสุดท้ายของผมคือการได้กลิ่น ได้สัมผัสได้ สิ้นใจอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เรารัก แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่น่าจะมีอะไรอย่างนั้นเพราะมึงเลือกเอง” (หัวเราะ)

        เขาให้เหตุผลว่าเป็นคนที่ไม่เคยให้ความสุขกับคนที่รักได้เลย เขาจึงสงสารคนที่รักเขามากๆ เพราะรู้ดีว่าหากใครจะมอบความรักให้กับคนอีกคน ตัวคนๆ นั้นเองก็ย่อมต้องการได้ความรักกลับมาเช่นกัน

        “เป็นเรื่องปกติมากที่เราไม่รู้สึกดีกับตัวเอง คุณอาจจะมองว่าตัวเองเป็นคนไม่น่ารัก แต่ผมอาจจะมองว่าคุณน่ารักมากก็ได้ คุณไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในโลกนี้มาเปลี่ยนสิ่งที่นี้ เพราะมันคือมุมมองที่ผมมีต่อคุณ แน่นอนว่าเราย่อมเกลียดตัวเองได้ แต่เราปฏิเสธความรักที่คนอื่นมีต่อเราไม่ได้ เพียงเพราะเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องผิด เพราะยังไงมันก็คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจและสมองของเขา เวลามีคนมาพูดอะไรดีๆ กับเรา เราก็รับความรู้สึกดีนั้นไว้ แต่เราไม่ได้เชื่อแบบเดียวกับเขา ซึ่งเขาก็ต้องเคารพเราเหมือนกัน

        “แต่สุดท้ายผมก็อยากให้ตัวเองได้มีชีวิตต่อเป็นต้นไม้ อยากให้เอาร่างกายของตัวเองไปใส่ไว้ในกระถางแล้วมีต้นไม้งอกขึ้นมา จะเพื่อเป็นอนุสรณ์หรือเป็นอะไรก็ได้”

        ถ้าจำลองการตายของตัวเองได้ผ่านการแสดงเขาอยากให้ตัวละครนั้นจบชีวิตลงแบบไหน – เราลองตั้งโจทย์ใหม่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้น

        “อืม!ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่ในฐานะนักแสดงผมอยากเป็นตัวประกอบในหนังของ เควนติน แทแรนติโน รับบทเป็นผู้ชายเอเชียมีอาชีพส่งพิซซ่าแล้วโดนพระเอกยิงตายโง่ๆ (หัวเราะ) ผมเองเป็นคนไม่ค่อยมีความฝันอะไร แต่ถ้าเป็นสิ่งที่อยากให้เป็นจริงก่อนตายคงจะเป็นการได้อยู่ในหนังที่ ริวอิจิ ซากาโมโตะ ทำเพลงประกอบให้สักเรื่อง เป็นเป้าหมายที่อาจจะพอเป็นไปได้ เพราะริวอิจิก็รู้จักกับพี่เจ้ย แต่ตอนนี้เขาก็อายุมากแล้ว ก็ไม่อยากคิดว่าเกิดวันหนึ่งผมดูเฟสบุ๊กแล้วพบว่าแกตายคงเสียใจมากแน่ๆ”

        แม้ว่าเขาจะดูเตรียมพร้อมกับการจากลาแล้วก็ตาม แต่ความหักมุมก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเราถามว่าถ้าเกิดเขามีพลังต่อต้านการดีดนิ้วของธานอสได้ เขาเลือกที่จะได้ตัวเองอยู่หรือไป ซึ่งคำตอบคือ เขาขออยู่ก่อน…

        “ผมยังไม่เลือกที่จะไปเลย เพราะผมกลัวที่ตัวเองจะต้องตายโดยที่ผมยังไม่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้” นี่คือเหตุผลที่เขาบอก

        “แต่ถ้าวันหนึ่งผมชอบงานที่ตัวเองทำ วันหนึ่งผมได้เล่นหนังที่ตัวเองได้พูดไว้ ผมจะไม่กลัวตายอีกเลย แต่ปัญหาคือ มนุษย์ก็ไม่เคยรู้จักพอ วันหนึ่งเราได้เงินหนึ่งร้อย ต่อไปก็อยากได้เงินหนึ่งล้าน มันจะวนไปแบบนี้เป็นก้นหอย ถ้าจะให้ดีคือพอผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจแล้วผมก็ขอตายเลยละกัน แต่สุดท้ายชีวิตก็ไม่ให้เราเลือกอยู่ดี เพราะคอนเซ็ปต์ของความตายคือ เราไม่สามารถเลือกได้ว่ามันจะมาหาเราเมื่อไหร่”

 


เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ  | ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ