จั๊ด

‘จั๊ด’ – ธีมะ กาญจนไพริน | Overcoming yourself การเปลี่ยนผ่านทางความคิดสู่การก้าวข้ามอคติในตัวเอง

ในวันที่ ‘จั๊ด’ – ธีมะ กาญจนไพริน แห่งรายการ ‘จั๊ดซัดทุกความจริง’ ถูกกระแสสังคมโถมกระหน่ำทั้งทางบวกและลบ จากการออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวของสังคมอย่างร้อนแรง เราจึงชวนเขามานั่งจับเข่าคุย ถึงการมองหาและรักษาจุดยืน รวมถึงการจัดการกับอคติของตนเองและคนรอบข้าง

กับบทสนทนาที่เปิดเผยความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่งของ a day BULLETIN ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งร้ายและดี การเปลี่ยนผ่านทางความคิด ก้าวข้ามอคติ ที่ทำให้เขาได้หันกลับมาทบทวนตัวเองครั้งสำคัญ และเติบโตขึ้นเป็นนักสื่อสารมวลชนอย่างเต็มตัว

 

ผมย้ำนะว่าจุดยืนของคนมันเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ผมไม่เชื่อหรอกว่า เมื่อสถานการณ์รอบข้างเปลี่ยนไป จะมีใครที่มีจุดยืนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนควรเข้าใจ

จั๊ด

เวลาพวกคุณผิดหวัง อกหัก จากคนที่เคยตั้งความหวังไว้ พวกคุณมีอาการอย่างไร

     มันก็ห่อเหี่ยวละนะ แต่ถ้าเป็นคนอย่างผม ผมทำงานอยู่ในวงการข่าว ก็ต้องเผชิญกับข่าวพวกนี้ทุกวัน ผมก็จะมีอาการห่อเหี่ยวไปสักพัก จนมันชินไปเสียเอง แต่ถ้าเป็นเพื่อนผมที่ไม่ได้อยู่ในวงการสื่อพวกนี้ พอเรามาเล่าสู่กันฟัง สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือเขาก็จะปลีกตัวออกไปเลย ไปทำงาน ไปเที่ยว ไม่รับรู้ข่าวพวกนี้ คุณช่วยเอาออกไปจากชีวิตฉัน

เราจะชอบฟังข่าวที่สอดคล้องกับความคิดเห็นของเรามากกว่าใช่ไหม เดี๋ยวนี้ไม่อยากสนใจเรื่องการเมืองแล้ว เพราะทนไม่ได้ที่จะได้รับฟังความเลวร้ายของสิ่งที่เคยรัก

     จริง มันคือมันส่วนหนึ่งของคนเรา เมื่อก่อนตอนที่ผมอินเรื่องทักษิณมากๆ เวลาไปนั่งตรงไหน ก็จะชวนคนอื่นคุยเรื่องนี้ตลอด ทั้งที่สภาพแวดล้อมบางทีคนอื่นไม่ได้ต้องการคุยเรื่องนี้เลยนะ แต่ผมรู้สึกว่าในสังคมปกติธรรมดาทั่วไป เรื่องพวกนี้จะไม่ได้หยิบมาคุย อย่างผมนานๆ จะเจอเพื่อนที มันจะถามจากผมว่าการเมืองตอนนี้เป็นยังไงบ้าง พอผมเล่าๆ ไป แต่ก็ไม่นานหรอก เป็นวินาทีสั้นๆ แล้วก็ไปคุยเรื่องอื่นแทนดีกว่า

มันสำคัญไหม กับการที่เรากลับมาตรวจสอบตัวเอง วิจารณ์ในสิ่งที่ตัวเองเคยเลือกในอดีต

     สำคัญ มันสำคัญมาก เราต้องกลับไปทบทวนบางสิ่งบางอย่าง แต่ก่อนเราเลือกอะไร และเราเลือกในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

เราจะเอาชนะ confirmation bias ของเราได้อย่างไร

     โอ้โฮ ยาก ยากเลยนะ ผมว่าวิธีการเอาชนะ confirmation bias ก็คือความพยายามในการหาข้อมูลด้านดีของอีกฝั่งบ้าง อาการแบบนี้มันเกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมา เราพยายามหาข้อมูลมาสนับสนุนความเชื่อของตัวเองตลอด โดยที่ตอนนี้บางทีเราต้องไปลองหาเหตุผลของฝั่งเขาดูบ้าง แล้วลองเอามาชั่งน้ำหนักกัน ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะกำจัดได้ยาก แต่ว่าการพยายามแสวงหาข้อมูลด้านอื่นๆ ผมว่ามันช่วยได้มาก

พูดถึง confirmation bias ของคุณเอง คุณทำอย่างไรถึงหลุดจากความคิดนั้นได้

     กระบวนการของผมก็คือ มุ่งทำข่าวแบบนี้ไปเรื่อยๆ และต้องคอยดูตัวเองเป็นระยะๆ ด้วยนะ ของพวกนี้กะเกณฑ์ไม่ได้ด้วย ถ้าย้อนกลับไปที่ตัวผมตอนเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมากับตัวผมในวันนี้ ยังเปลี่ยนไปมากเลยในแนวทางของการทำข่าว เพราะในแต่ละวันๆ พอเรารายงานข่าวเรื่องหนึ่ง มันก็จะมีฟีดแบ็กบางอย่างกลับมาสู่ตัวเรา ทำให้เรากลับมาทบทวนตัวเองทุกวันๆ ผมเชื่อว่าในปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากสำหรับตัวผมเอง ปี 2561 กับปี 2562 นี่แหละ จะเป็นปีที่วัดอะไรบางอย่างภายในตัวผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูกาลเลือกตั้งที่จะมาถึง ผมคงจะต้องมานั่งทบทวนตัวเองทุกๆ วัน ว่าในแต่ละวัน เราจะนำเสนออะไรบ้าง ฉับพลันที่กฎหมายอนุญาตให้นักการเมืองได้ทำกิจกรรม ผมคงต้องคิดกับตัวเองเลยว่าวันนี้เรานำเสนอข่าวไป เป็นธรรมหรือยัง มีประโยชน์หรือเปล่า ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด

     ผมรู้ดีว่าตัวเองมีปัญหาเยอะ เกี่ยวกับความเป็นฟากเป็นฝั่งทางการเมือง และผมก็ยอมรับด้วยนะว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนที่มาต่อว่า สำหรับผมตอนนี้ ในพาร์ตที่เป็นเรื่องส่วนตัว ตัวผมเลือกแล้วว่าจะเลือกพรรคอะไร ถ้าเกิดการเลือกตั้งอีก ผมคิดแล้วว่าจะไปเลือกพรรคนี้ เลือกคนคนนี้ แต่ว่าในพาร์ตของการทำงาน ผมคงจะต้องเลือกวิธีการรายงานข่าวแบบที่ผมรายงานที่ Blue Sky แต่ต้องปรับจูนตัวเองให้รายงานข่าวบนสถานีทีวีดิจิตอล ให้คนทุกเพศทุกวัย ให้คนที่เคยใส่เสื้อสีทุกสี ดูด้วยกันได้ ปี 2561 กับ 2562 จึงเป็นปีที่ท้าทายมากว่าตัวตนของผมข้างในจะเป็นอย่างไร เพราะเราไม่รู้หรอกว่าข่าวที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้จะเป็นข่าวอะไร เราจะมีแนวทางวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เมื่อเราวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว ฟีดแบ็กที่เด้งกลับมาจากคนกลุ่มไหน จากใคร มันกะเกณฑ์ไม่ได้ คนที่เราพูดถึงในข่าวจะติดต่อเราไหม กระแสสังคมว่าอย่างไร แชร์ไปแล้วคนคอมเมนต์ว่าอย่างไร

จั๊ด

ถ้าให้อธิบายกันจริงๆ ตอนที่ลงไปอยู่บนท้องถนนตอนนั้น เราส่วนใหญ่ที่นั่นก็ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งใหม่ที่มาจะเป็นแบบนี้ เราก็หวังว่าน่าจะมีอะไรที่ดีกว่า

แต่ก่อนคุณมองผู้ประกาศข่าวของอีกช่องอีกฝั่งอย่างไร และตอนนี้มองอย่างไร

     ผมเฉยๆ นะ ผมคุยได้ทุกคน ตอนที่การเมืองหนักๆ ผมก็ได้เข้าไปเรียนในสถาบันพระปกเกล้า ในคลาสเรียนผมก็เรียนกับคนที่แตกต่างทางความคิด ก็เจอหน้ากัน ทักทายกัน คุยกัน แล้วผมก็เข้าใจว่าเราทุกคนเป็นเหมือนกัน คือต่างฝ่ายต่างก็คอยหาเหตุผลมาสนับสนุนฝั่งตัวเองนี่แหละ ผมจึงเฉยๆ เพราะเป็นหน้าที่ของแต่ละคน ถ้าคุณชอบช่องไหนก็ไปดูช่องนั้น

สื่อมวลชนควรแบ่งขั้วแบบนี้หรือ

     ผมไม่คิดว่าเราต้องแสดงความเป็นกลางออกมา ชีวิตมันมีฝั่งมีฟาก สมมติในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมจะพยายามนำเสนอข่าวทุกฝั่งอยู่แล้ว แต่ในชีวิตส่วนตัว คนอื่นรู้กันหมดว่าผมสนับสนุนใคร แต่ในรายการของผม ถ้านำเสนอข่าว แล้วผมเชียร์ประชาธิปัตย์แบบสุดลิ่มทิ่มประตู เอาพรรคอื่นมาด่าบนทีวีดิจิตอล แบบนี้สิอันตรายอย่างยิ่ง ผมจะได้รับแต่กระสุน ได้แต่คำติเตียนแน่นอน

รู้สึกอย่างไรที่ทุกวันนี้ยังมีคนตั้งแง่กับคุณ ว่าทีเมื่อก่อนอย่างนั้น แล้วมาตอนนี้จะอย่างนี้ อะไรทำนองนี้

     ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะมันต้องเป็นแบบนั้น ก็แค่ต้องระวังตัวเอง ผมโอเคกับเรื่องนี้นะ เพราะว่าคนที่ติดตามผมเชื่อมั่นว่าตลอดเวลาที่รายงานข่าว ผมวิพากษ์วิจารณ์ทุกพรรค แสดงความไม่เห็นด้วยที่ตัวนโยบาย ไม่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยเพราะคนคนนี้อยู่พรรคเพื่อไทย ถ้าพรรคเพื่อไทยพูดถูกก็คือถูก

     และก็เข้าใจนะว่าเพราะอะไรเราจึงยังตั้งแง่กันอยู่ ถ้าให้อธิบายกันจริงๆ ตอนที่ลงไปอยู่บนท้องถนนตอนนั้น เราส่วนใหญ่ที่นั่นก็ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งใหม่ที่มาจะเป็นแบบนี้ เราก็หวังว่าน่าจะมีอะไรที่ดีกว่า แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนที่ยังคอยมาตำหนิ ผมเข้าใจว่าชุดความคิดแบบนี้มีได้อยู่แล้ว มันคือผลของสิ่งที่ผมตัดสินใจในอดีต แต่ผมต้องขอบอกเลยว่า การตัดสินใจในอดีตของเรามันไม่จำเป็นต้องบ่งบอกตัวตนของเราในทุกวันนี้ คนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น อยากให้เข้าใจตัวตนในปัจจุบันมากกว่า ผมเชื่อว่าถ้าเอาสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งตัดสินใจในอดีต มาตามตัดสินความเป็นไปทั้งหมดในชีวิตเขา บางทีมันก็ยากนะ เพราะเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนไปได้

ขยายความหน่อยจุดยืนที่บอกว่าเปลี่ยน มันเปลี่ยนอย่างไร

     ผมย้ำนะว่าจุดยืนของคนมันเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อสถานการณ์รอบข้างเปลี่ยนไป จะมีใครที่มีจุดยืนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนควรเข้าใจ ไม่ได้แปลว่าเราเปลี่ยนจากขวาสุดไปซ้ายเลยนะ แต่อาจจะจากขวาสุด เขยิบมาอยู่ขวาเกือบกลาง การอยู่ในแกนเดิมแต่มีบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะเชื่อว่าความบิดเบี้ยวนั้นเกิดจากสภาวะแวดล้อมรอบข้าง แต่ใจความหลักในตัวเรายังเหมือนเดิม ถ้าวันหนึ่งยังสวิงอยู่ในฝั่งของตัวเอง เราควรจะฟังเหตุผลกันนะว่าเพราะอะไร หรือแม้กระทั่งเขาย้ายจากฝั่งขวาไปซ้าย เราก็ควรฟังเหตุผลกันว่าเพราะอะไร เพราะเขาอาจจะมีเหตุผลอะไรก็ได้

     แต่อย่างแรกที่คิดว่าควรทำเลยคือหยุดโจมตีเรื่องส่วนตัว เพราะนี่มันเป็นอุปสรรคมาก เป็นชุดความคิดแรกๆ ให้คนจ้องทำร้ายกัน คุณจะไปดูรูปลักษณ์เขา คุณจะไปดูเรื่องเพศเขา คุณจะไปขุดประวัติคร่าวๆ ทางอินเทอร์เน็ตของเขาว่าเขาเป็นอย่างไร เขาทำอะไรมา ถ้าตัดสินกันตื้นๆ แค่นั้น มันจบเลยนะ เราได้มองข้ามสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ไปหมดแล้ว ว่าสิ่งที่เขาเปลี่ยนไปเลยมันมีเหตุผลไหม แต่คุณไปจมปรักอยู่กับสิ่งที่คุณใช้เป็นอาวุธโจมตีอีกฝั่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความคิดของเขาเลย

จั๊ด

ตอนนี้ไม่ได้ย้อมไม่ได้ชุบอะไรทั้งนั้น ยังเป็นแบบเดิม และยินดีด้วยที่คนรู้สึกว่าเราไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่าเราปรับไปตามสถานการณ์ต่างหาก เพราะจะให้ชุบยังไงก็ไม่มีใครเชื่อ ชุบให้ตัวเองเป็นกลางเหรอ ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นอยู่แล้ว

แต่อีกฝั่งอาจจะบอกว่า คุณพูดแบบนี้เพราะอยากชุบตัวหรือเปล่า

     ตอนนี้ไม่ได้ย้อมไม่ได้ชุบอะไรทั้งนั้น ยังเป็นแบบเดิม และยินดีด้วยที่คนรู้สึกว่าเราไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่าเราปรับไปตามสถานการณ์ต่างหาก เพราะจะให้ชุบยังไงก็ไม่มีใครเชื่อ ชุบให้ตัวเองเป็นกลางเหรอ ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นอยู่แล้ว ชุบให้เป็นอีกฝั่งหนึ่งเหรอ ไม่ เราอยู่ตรงไหนเราอยู่ตรงนั้น แต่แนวทางการทำงานที่เราออกมาวิจารณ์ความไม่ถูกต้อง อาจทำให้คิดว่าเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราเบี่ยงอยู่ในฝั่งเดิมนะ อย่าคิดว่าเป็นการชุบตัวทำตัวเป็นกลางเพื่อเปลี่ยนไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งเลย ไม่ใช่

     อย่างวันนี้ที่เกิดข่าว กปปส. เราก็รายงานข่าวโดยปกติว่ามีกี่กลุ่มกี่ก้อน คุณสุเทพโดนฟ้องข้อหาอะไรบ้าง เราก็รายงานไปปกติว่านี่คือกระบวนการยุติธรรม ใครที่เคยทำอะไรแบบนี้มาก็ต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่คนแบบนี้ถ้าลงมาบนท้องถนนจะต้องมีคดีติดตัวอยู่แล้ว คุณก็ต้องยอมรับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญ ผมก็รายงานในรายการปกติ ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้ต้องเก็บซ่อนไม่พูด มันคือข่าวที่คนต้องรู้ และเราคุยกันว่านี่เป็นข่าวที่เด่นที่สุดในกรอบการเมืองวันนี้

หนึ่งเรื่องที่คนจะเอามาตั้งแง่กับคุณ คือเรื่องคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน น่าจะเป็นเรื่องที่คนติดใจมากๆ ว่าคุณเคลียร์ตัวเองหรือยังถึงไปวิจารณ์คนอื่น

     เรื่องนั้นมันจบที่ว่าผมโดนปรับไป 4,000 บาท โทษจำคุก 2 เดือน รอลงอาญา 1 ปี ก็จบไปแบบนี้เพราะว่าเรารับสารภาพทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดมันเป็นกระบวนการความบกพร่องของเราเอง คือเราไม่ได้หลบหรือปกปิด เพราะการยื่นบัญชีทรัพย์สินต้องยื่น 3 ครั้ง ก่อนรับตำแหน่ง ออกจากตำแหน่ง และหลังพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี

     ผมยื่นครั้งแรก ครั้งที่สอง แต่พอพ้นตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี เราไม่ได้ไปยื่น เรื่องเลยไปถึงศาล แต่เราไม่ได้หลบ ก็รับสารภาพและให้เขาเช็กบัญชีย้อนหลัง เราไม่ได้บิดพลิ้ว ทำทุกอย่างถูกต้องตามหลังไป ก็จบไปแบบนั้น

ทุกวันนี้เสียงวิจารณ์จากคนภายนอกมีผลต่อตัวคุณแค่ไหน

     ไม่กระทบเลย บอกตามตรงเลยนะถ้าสิ่งนั้นไม่ทำให้เราต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ต้องเข้าไปสู้กันในชั้นโรงชั้นศาล ผมไม่แคร์ ทนได้กับเรื่องพวกนี้มากๆ

     บางวันเราอาจจะโมโหตอบโต้ไปบ้าง เป็นปกติของมนุษย์เพราะว่าเราไม่ใช่พระอิฐพระปูน แต่ถ้ามีอะไรที่กระทบเรา จนลากเข้าไปสู่กระบวนการทางกฎหมายอันนั้นสิที่ทำให้รู้สึกท้อกว่าโดนวิจารณ์อีก

ทำไมยังมีบางคนคอยตามเยาะเย้ยถากถาง เสียดสีเหน็บแนมคุณ

     (หัวเราะ) เหมือนว่ามันเป็นธรรมชาติของการต่อสู้ทางการเมืองหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอต่อสู้ทางการเมืองปุ๊บมันต้องมีเสียดสี ประชดประชัน แดกดัน ถากถาง จัดมาครบหมด

การที่ภาพการแสดงออกทางการเมืองของคนคนหนึ่ง ถูกโยงไปกับเรื่องงาน เรื่องครอบครัว นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า

     รสนิยมทางการเมือง ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แล้วคราวนี้ ช่องที่เราเปิดไปดู เราก็รู้อยู่ว่ารสนิยมคนนี้เป็นฝ่ายไหน แต่ขอให้เราพยายามอย่าเพิ่งตัดสินเขา ลองดูแนวโน้ม ลองดูพฤติกรรมของเขาไปก่อน แล้วแยกชีวิตส่วนตัวของเขากับการทำงานหน้าจอออกไป มันควรจะเป็นแบบนี้นะ

     ตอนนี้ข้อเสียของการพยายามทำตัวเป็นกลางคืออะไรรู้ไหมครับ มันคือการรายงานข่าวที่ไม่ลึกและไม่รอบด้าน เพราะไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นข่าวที่มีแต่ข้อมูลอย่างเดียว ผมว่าเดี๋ยวนี้ให้แต่ข้อมูลอย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งการที่ช่องไหนเทน้ำหนักไปฝั่งการเมืองไหนมากกว่ากัน คุณดูแล้วก็รู้ด้วยสติของตัวคุณได้ แล้วก็ลองย้ายช่องไปดูอีกฝั่งที่มีข้อมูลอีกชุดดูบ้าง แต่ถ้าสมมุติว่าเราเอาจรรยาบรรณสื่อไปครอบ โดยการบอกว่าคุณห้ามใส่ความคิดเห็นของคุณลงไปเลย เราจะได้ข่าวช่องสิบเอ็ดกันทั้งวงการสื่อเลยนะ

คุณว่ามันมีเงื่อนไขอะไรที่จะทำให้คนสุดโต่งของฝั่งใดฝั่งหนึ่งสามารถกลับคืนมาสู่ความปกติได้ สามารถกลับมาทำความเข้าใจของคนอื่นๆ ได้อีกครั้ง

     อืม ผมว่ายาก แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ผมว่าคือการที่เราต้องไปเจอความเลวร้ายของทุกฝั่ง ทั้งของฝั่งตัวเองและฝั่งตรงข้าม (หัวเราะ) ผมว่ามีแน่

ไปดูฝั่งนู้นมาแล้วหรือ

     ไม่ๆ แค่ตามข่าว แล้วในแนวทางสิ่งที่เราทำรายการมาตลอด ก็พอจะได้เคยสัมผัสบ้าง ไม่ได้เข้าไปคลุกคลีหรอก ผมว่าประสบการณ์ของผมในงานการเมืองก็ยังมีไม่มากหรอก แค่กับประชาธิปัตย์ ผมศรัทธาในตัวคุณอภิสิทธิ์ ผมเชื่อว่าคนคนนี้มีความสามารถ และคนคนนี้ไม่โกง ไม่มีการทุจริต คอร์รัปชัน

จั๊ด

ผมเชื่อว่าสถานภาพของผมในตอนนี้ ผมมีความสุขกับการเป็นสื่อมวลชน และผมสามารถใช้ศักยภาพของผมในการเป็นสื่อมวลชนได้ดีกว่าการไปใช้ศักยภาพในแวดวงการเมือง

อาจจะอกหักอีกก็ได้ เตรียมใจไว้บ้างหรือเปล่า

     (หัวเราะ) ณ ปัจจุบัน ผมว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนของพรรคไหน แต่ผมรู้ว่าตัวเองสนับสนุนใคร แค่นี้แหละ เช่น ในรัฐบาลนี้ ถ้าถามว่ามีคนดีไหม มีความสามารถไหม มีผู้บริหารที่ดีไหม ผมเชื่อว่ามีคนที่คุณสมบัติเพียงพอ อาจไม่ได้สะอาดเอี่ยมร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่ผ่านขึ้นมาสู่จุดนี้มันต้องมีริ้วรอยอะไรสักอย่าง วงการนี้มันโหด และผมเชื่อว่าในบ้านเรายังมีคนหลายคนที่น่าจะให้โอกาสเขาได้ขึ้นมาบริหารประเทศ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มันเอื้อ ในโอกาสที่เหมาะสม ดังนั้น ที่ผมบอกว่าคงต้องให้ทุกคนไปเจอความเลวร้ายของทุกๆ ฝั่ง ผมไม่ได้โจมตีใคร ไม่ได้จะบอกว่าพรรคไหนว่าเลวร้าย เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ผมประสบพบเจอมากับตัว แต่มันเป็นเรื่องที่ถูกถ่ายทอดมา

คิดว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า คนอีกฝั่งหนึ่งจะยอมเปิดใจ มาเปิดดูรายการคุณมากแค่ไหน

     ยากจริงๆ นะ เพราะบรรยากาศมันคงจะเข้มข้นมากเลยตอนนั้น จริงๆ ก็อยากให้ลองเปิดใจนะ ลองมาดูกัน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบผมเลยก็ตาม ลองดู ลองดูกันไปยาวๆ โดยเฉพาะในฤดูกาลเลือกตั้งจะวัดหลายๆ อย่าง ลองดูซิว่าถ้าสมมติพรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ว้าวมาก วันนั้นผมจะชมเขาไหม แต่ถ้าวันไหนประชาธิปัตย์ดันมีผู้สมัครสักคนไปโกงเลือกตั้ง วันนั้นผมจะด่าเขาไหม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถ้าเกิดขึ้น มันจะพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างเลยนะ ตอนนี้มันยังบอกไม่ได้

คุณจะมีบทบาททางการเมืองอะไรในพรรคประชาธิปัตย์อีก

     ไม่มีครับ ผมคงไม่ได้ไปช่วยทำอะไรมากมาย แต่เวลามีงานสัมมนา ผมไม่ได้หมายถึงการหาเสียงนะ งานสัมมนา ผมอาจจะไปนั่งฟังบ้าง แต่ผมไม่ได้มีชื่ออยู่ในคณะกรรมการอะไรใดๆ และไม่ได้มีส่วนร่วมในการคิดนโยบาย ทำนโยบายอะไร ผมเชื่อว่าสถานภาพของผมในตอนนี้ ผมมีความสุขกับการเป็นสื่อมวลชน และผมสามารถใช้ศักยภาพของผมในการเป็นสื่อมวลชนได้ดีกว่าการไปใช้ศักยภาพในแวดวงการเมือง เพราะเคยเข้าไปช่วงสั้นๆ ในนั้นปัจจัยมันเยอะมาก ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราร้อยล้านเท่า

     แต่ถ้าผมทำงานตรงนี้ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันคืองานในฟิลด์ที่เรียนมา ผมกะเกณฑ์มันได้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าเข้าไปถึงตรงนั้นแล้ว ผมอายุอานามยังเท่านี้ สำหรับทางการเมืองนะ ถึงแม้ว่าผมจะหงอก อายุ 35-36 ทางการเมืองมันยังเบบี๋มาก

ไม่ตลอดไป

     ไม่รู้ (หัวเราะ)

มองบทบาทผู้สื่อข่าวของตัวเองอย่างไรตอนนี้

     สำหรับผม กำลังเอ็นจอยกับการทำข่าวตรงนี้มากเลย ยังมีรายการในฝันที่อยากทำอยู่ และต้องทำให้ได้ ผมยังมีจุดมุ่งหมายและเห็นภาพชัดเจนกว่า ระยะทางไปสู่ตรงนั้นน่าสนุกสนานกว่ามาก มีอิสรเสรีในการเคลื่อนไหวตัว ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ควบคุมชีวิตได้ กะเกณฑ์ได้

     รายการทีวีที่ผมชอบมากเลยนะ Last Week Tonight with John Oliver เป็นรายการที่วิพากษ์วิจารณ์การเมือง เช่น พูดเรื่อง โดนัลด์ ทรัมป์ พูดเรื่องยิงขีปนาวุธ ในโปรไฟล์เขาใช้คำอธิบายตัวเองว่าเป็นคอเมเดียน เขาไม่ใช้คำว่าเป็นรีพอร์เตอร์ ผมนั่งดูแล้ว โอ้โฮ รายการแบบนี้มันควรจะมีในประเทศไทยมาก เอาสิ่งที่ยากมากๆ มาพูดให้คนขำได้ยังไง แล้วคนมันซึมซับเข้าไปเอง อย่างน้อยในอีก 10 ปีต่อจากนี้ไป ผมต้องทำแบบนี้ให้ได้เลย ต้องเป็นรายการที่ครบเครื่องมากๆ ทำข่าวที่เข้มข้น ไม่ใช่ซอฟต์นิวส์ แต่เป็นฮาร์ดนิวส์ เป็นวาระประเทศ วาระโลก แต่ชาวบ้านร้านตลาดนั่งดูแล้วเอิ๊กอ๊าก เข้าใจได้ ผมว่านี่คือสิ่งที่ผมค้นพบตอนนี้ เป็นความสุขส่วนตัว ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องไปวุ่นวาย ไม่ต้องไปปวดหัว

ถ้าเกิดมีเหตุการณ์แบบปี 2556 อีกครั้ง จะออกไปเรียกร้องอีกไหม

     ไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นรูปแบบอย่างไร อืม คงไปแหละ คงไปอยู่แล้ว ต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง

 
สไตลิสต์ : Hotcake


+ ‘จั๊ด’ – ธีมะ กาญจนไพริน | don’t JUDGE a book by its cover.