คนที่โตมากับเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟคงรู้จัก น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในฐานะนักร้องนำวง Pru ที่มีเอกลักษณ์ทั้งเรื่องของเสียงร้องและการแสดงบนเวทีที่ดึงเอาอินเนอร์ของตัวเองออกมาจนกลายเป็นภาพจำ แต่ถ้าเป็นเด็กหลังยุค Y2K แน่นอนว่าถ้าเราถามเขาว่ารู้จัก ‘น้อย วงพรู’ เขาอาจจะทำหน้าย่นและขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ถ้าบอกว่าเขาคือนักแสดงที่รับบทอัลฮาวียะลู ในหนังเรื่องขุนพันธ์ (พ.ศ. 2559) หรือ จ๊อด ฮาวดี้ ในหนังเรื่องอันธพาล (พ.ศ. 2555) แน่นอนว่าต้องร้องอ๋อ! กันขึ้นมาบ้าง
ถ้านับจากวันแรกที่อัลบั้ม Pru วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2544 ถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 22 ปีแล้ว ที่ศิลปินคนนี้ได้ฝากผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้ทั้งงานเพลงและการแสดง จนกลายเป็นหนึ่งในแม่แบบที่นักแสดงรุ่นใหม่ๆ อยากถ่ายทอดอารมณ์ให้ ‘ถึง’ แบบที่น้อย วงพรู เคยทำไว้ แต่ถ้านับที่ผลงานเรื่องสุดท้ายของเขาก่อนจะถึงผลงานล่าสุดอย่าง ‘แสงกระสือ 2’ ชายคนนี้หยุดรับงานไปยาวๆ ถึง 8 ปี ด้วยเหตุผลส่วนตัวหลายๆ อย่าง ทั้งการรอคอยบทบาทที่ท้าทาย แม้กระทั่งการที่ตัวเองต้องยอมรับว่าถึงวันที่เขาจะต้องรับบทพ่อในภาพยนตร์บ้างแล้ว
เราจึงชวนเขามานั่งพูดคุยและปลดปล่อยความรุู้สึกที่อัดอั้นในใจมาตลอด ทั้งเรื่องของการที่ตัวเองเพิ่งปลดล็อกความรู้สึกชื่นชมตัวเองได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือความไม่มั่นใจในตัวเองที่มีมาตลอดระยะเวลาที่ทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งความรู้สึกที่เป็นพลังลบเหล่านั้นกลับเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาได้ส่งมอบสุดยอดการแสดงให้กับแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของเขา
รวมถึงความลับในการแสดงที่ถ้าคุณตามงานของเขามาตลอด จะต้องหัวเราะออกมาเหมือนตัวเขาที่ตอบคำถามในทุกการสนทนานี้อย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ว่าเราจะคาดหวังว่าจะได้เจออินเนอร์ปังๆ แบบที่เขาเล่นเป็นอัลฮาวียะลูไว้นิดๆ ก็ตาม
แต่ไม่ว่าคุณจะชอบบทบาทของเขาในฐานะนักร้องหรือนักแสดงก็ตาม บทสนทนานี้จะพาคุณไปทำความรู้จักผู้ชายคนนี้ได้ดียิ่งขึ้น และจะหลงรักเขามากขึ้นด้วยเช่นกัน
การเป็นนักแสดงมืออาชีพนั้น มีการวางแผนไหมว่าเมื่อถึงวันหนึ่งบทพ่อนั้นคือหนึ่งในเป้าหมายของคุณ
ผมยอมรับว่าผมมีอีโก้สูง แต่ความจริงคือ นักแสดงระดับสากลที่เก่งๆ นั้น เขาก็รับบทพ่อมาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Leonardo DiCaprio หรือ Brad Pitt เป็นต้น ซึ่งการเป็นนักแสดงสำหรับผมนั้น ผมก็อยากได้รับบทที่มีความหมาย ถ้าบทพ่อที่ส่งมาให้ผมนั้นไม่มีความหมายต่อตัวผมมากพอผมก็ไม่อยากเล่น เพียงแต่การเป็นนักแสดงในประเทศไทยบทพ่อที่ยังเป็นตัวนำเรื่องได้นั้นมีน้อยมาก ซึ่งเป็นเรื่องของวัฒนธรรมด้วย เราอยู่ในวัฒนธรรมที่เด็กวัยรุ่นก็สามารถเป็นซูเปอร์สตาร์ได้แล้ว แต่ในขณะที่ต่างประเทศเขาก็ยังให้ความนับถือกับนักแสดงที่มีประสบการณ์อยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่ที่อังกฤษหรือฮอลลีวูดเท่านั้น แต่ยังมีประเทศอย่างอินเดีย จีน หรือเกาหลีใต้ด้วยเช่นกัน นักแสดงนำยังสามารถมีอายุที่ 45 – 50 ปีได้ แต่ผมก็เข้าใจว่าบ้านเราก็มีวัฒนธรรมของตัวเอง และเป็นเรื่องของธุรกิจด้วย เพราะตอนนี้คนที่จะยอมจ่ายเงินเพื่อเข้ามาดูหนังในโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กๆ พวกผู้ใหญ่เขาทำงานเสร็จก็เหนื่อยแล้ว เขาขอกลับไปดูหนังสตรีมมิงที่บ้านดีกว่า และคนที่เด็กๆ อยากดูก็จะเป็นดาราวัยรุ่นขวัญใจพวกเขา ไม่ใช่คนที่อายุห้าสิบกว่าๆ แบบผมแน่นอน
ถ้าไม่นับเรื่องอายุ ข้อจำกัดในการเป็นนักแสดงสำหรับคุณคืออะไร
บทดีๆ สำหรับนักแสดงวัยอย่างผมในบ้านเรามีน้อยมาก ต่างประเทศเขาสามารถทำบทดีๆ ให้กับนักแสดงทุกรุ่นได้เพราะเขามีตลาดที่ใหญ่กว่าบ้านเรา สำหรับผมการเป็นนักแสดงต้องอาศัยเวลากว่าจะหล่อหลอมความสามารถของเราให้เกิดขึ้นมาได้ คุณต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจในฝีมือการแสดงของตัวเอง ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วแสดงได้เก่งเลยทันที แต่ผมก็ยอมรับว่าตอนนี้ไม่ใช่ยุคของผมแล้ว และโลกของการแสดงตอนนี้ก็ไม่ใช่โลกของเราอีกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกหมดไฟในการเป็นนักแสดงบ้างไหม
ผมมองว่าเป็นการเข้าใจความจริงในวงการบันเทิงมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกิดแค่ในบ้านเราเท่านั้น มันเป็นความจริงที่เป็นกันอยู่ทั้งโลก นักแสดงหรือนักร้องก็มี Shelf life (อายุในการแสดง) ของตัวเอง อย่าง Julia Roberts เขาก็เข้าใจว่าตัวเขาไม่สามารถเป็นนางเอกได้ตลอดไป ซึ่งตอนนี้ก็เป็นยุคของ Jennifer Lawrence แล้ว ยิ่งพอเป็นนักแสดงหญิงยิ่งยากกว่านักแสดงชายด้วย นักแสดงที่ฮอลลีวูดยังออกมาพูดกันเลยว่าบทดีๆ บทสนุกๆ มันๆ จะมีให้ผู้ชายที่อายุสี่สิบปีขึ้นไป แต่นักแสดงหญิงพออายุสี่สิบปีบทนางเอกก็จะเริ่มน้อยลงไปแล้ว เราต้องเข้าใจว่านี่คือเรื่องของธุรกิจ ใครๆ ก็อยากเห็นนักแสดงที่ยังหนุ่มยังสาว นานๆ ทีที่นักแสดงอาวุโสจะมีโอกาสได้รับบทนำอย่างเต็มตัว ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็ต้องไปรับบทสมทบกัน นักแสดงหญิงน้อยคนมากๆ ที่จะได้รับบทดีๆ เหมือนกับ Meryl Streep แต่การที่ Meryl Streep ได้รับบทเด่นๆ เสมอ นั่นก็มาจากความสามารถของเธอด้วย เพียงแต่นักแสดงชายจะได้รับโอกาสมากกว่า โลกนี้ไม่เคยมีความแฟร์กับเราอยู่แล้ว ยิ่งการที่จะเป็นให้ได้ระดับ Movie Star ด้วย ก็ยากขึ้นไปอีก นักแสดงที่อยู่ระดับเอลิสต์ของฮอลลีวูดได้ เขาคือคนที่เป็นที่หนึ่งในคนจำนวนล้านคนที่โดดเด่นแบบนั้นได้ เขาต้องมีทั้งพลังดารา มีออร่า และมีการแสดงที่ดี ซึ่งคนที่มีพร้อมทุกอย่างแบบนี้หายากมาก ดังนั้นคนแบบนี้จึงสมควรที่จะได้รับค่าตัวยี่สิบล้านดอลลาร์อยู่แล้ว คุณลองนับดูสิว่ามีนักแสดงกี่คนกันที่คนทั้งโลกยอมเสียเงินไปดูหนังที่เขาเล่นในโรงภาพยนตร์
คุณเคยคิดไหมว่าหรือจริงๆ ตัวฉันควรไปอยู่ที่ฮอลลีวูดจะรุ่งกว่า
(หัวเราะ) บอกตรงๆ เลยนะ อยู่ที่นี่ผมเป็นเหมือนปลาใหญ่ที่ว่ายอยู่ในบ่อเล็กๆ หมายความว่าการแข่งขันไม่ได้หนักหน่วงขนาดที่ฮอลลีวู้ด ที่นี่เหมือนผมเป็นนักฟุตบอลที่เตะในประเทศได้เก่งที่สุดแล้ว แต่พอไปแข่งนอกบ้านเราสู้นักเตะคนอื่นๆ ได้ยากมาก ดังนั้นผมดีใจมากที่มีคนบอกว่าผมเหมือน Christian Bale แต่ผมเองก็ไม่มีความสามารถเท่าเขาหรอก โดยเฉพาะจุดด้อยของผมคือเรื่องของโทนเสียง ซึ่งการแสดงนั้นเรื่องของโทนเสียงสำคัญมาก นักแสดงเมืองนอกเขาจะใช้โทนเสียงที่หนักแน่น ผมต้องฝึกเยอะมากๆ ให้พูดแบบนั้นให้ได้ ยอมรับว่าผมเคยเล่นหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่ง และผมรู้สึกว่าตัวเองแสดงได้ไม่ดีเลย ผมจึงไม่เคยบอกใครเลยว่าเป็นเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่หนังเรื่องนั้นเป็นหนังที่ดีแต่ตัวผมดูไม่ได้เลย เพราะผมชินกับการใช้เสียงสูงของตัวเอง ทุกครั้งที่ผมดูหนังเรื่องนั้นผมอายตัวเองมาก
ดังนั้นการอยู่ประเทศไทยทำให้โอกาสมาที่เรามากกว่า การเป็น ‘น้อย วงพรู’ ทำให้ผมสามารถร้องเพลงด้วยเสียงสูงๆ ได้ กลับกันถ้าผมไปฮอลลีวูดผมจะเจอแต่คนเก่งๆ เต็มไปหมด แค่ผู้เข้าแข่งขันในรายการ The Voice (American) พวกเขาก็ร้องเพลงเก่งกว่าผมเป็นสิบเท่าแล้ว ในโลกของศิลปะการที่คุณเป็นคนที่เก่งที่สุดก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ มันมีปัจจัยมากมายทั้งพลังดารา โชคชะตา และคนที่ช่วยผลักดัน ขนาดคนที่เก่งมากๆ ได้เข้ารอบ The Voice (American) หลายคนก็ค่อยๆ หายไปจากวงการในเวลาต่อมา
ผมเคยเล่นละครเวทีอยู่ที่อเมริกาช่วงหนึ่ง แน่นอนผมก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนเพื่อนๆ บอกผมว่าผมมีโอกาสรออยู่ที่ประเทศไทย ถึงที่นั่นจะไม่ใช่ฮอลลีวูดแต่ผมก็สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้ แต่สำหรับตัวเขาด้วยความที่เป็นฝรั่งหัวทองเขาก็ไม่สามารถไปที่ไหนได้ ต่างกับผมที่มีตลาดอีกที่รออยู่ และการแข่งขันก็ไม่สูงเท่าที่ฮอลลีวูด ผมจึงกลับมาทำงานที่นี่ ซึ่งคนไทยเองก็ให้การยอมรับคนที่เป็นลูกครึ่งด้วย ต่างกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ไม่ค่อยเปิดรับนักแสดงลูกครึ่งสักเท่าไหร่ แม้ว่าตอนนี้นักแสดงเอเชียจะถูกฮอลลีวูดให้การยอมรับมากขึ้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของโอกาสก็ยังน้อยกว่าการทำอาชีพนี้ที่ประเทศไทยอยู่ดี
คุณบอกว่าเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้การยอมรับจากคนดูตอนอายุห้าสิบ ทำไมถึงคิดอย่างนั้น
ผมยอมรับว่าในฐานะนักร้องหรือนักแสดงก็ตาม ผมอยากได้การยอมรับจากประชาชนมาตลอด วันนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองได้การยอมรับมาในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อก่อนผมรู้สึกแย่กับตัวเองมาตลอดเพราะเป็นคนที่คิดลบ ผมเรียกร้องการได้รับคำชมเชยจากคนดู ผมต้องการให้คนมาบอกว่าผมทำการแสดงได้ดี ดังนั้นก่อนหน้านี้เวลาที่ผมถูกคนด่าผมก็จะมองจะฟังแต่เรื่องนั้น ผมไม่เคยมองเรื่องนี้ในมุมบวกเลย โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นที่ผมก็รู้ว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษ ผมก็คิดว่าเพราะคุณมองว่าผมเป็นไฮโซคุณจึงไม่ยอมรับในตัวผม คุณไม่ยอมรับว่าผมคือของจริงหรือแสดงได้จริง ความคิดผมจะวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้ จนเวลาผ่านไปที่คนเริ่มให้การยอมรับผมมากขึ้น
ผมจะพูดเสมอว่าวงการบันเทิงคือวงการที่แฟร์กับเราที่สุด เป็นวงการที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่สุด เพราะประชาชนจะเป็นตัววัดว่าเราจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ไม่เหมือนธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องอาศัยเรื่องคอนเนกชัน แต่การเป็นนักร้องนักแสดงนั้นจะขึ้นอยู่กับประชาชนจริง โอเค! ตอนเข้ามาช่วงแรกๆ ผมอาจจะมีคอนเนกชันที่พี่ชายผมเป็นหนึ่งในเจ้าของค่ายเบเกอรี่มิวสิคในตอนนั้น แต่มันก็กลายเป็นปมด้อยให้ผมด้วยเช่นกัน ผมจึงอยากพิสูจน์ตัวเองมาตลอด พออายุมากขึ้นผมเริ่มสังเกตว่ามีคนที่ชื่นชมเราจริงๆ ทั้งฝั่งคนดูและฝั่งนักแสดงด้วยกันเอง
คนดูชอบการแสดงที่เดือดๆ แรงๆ ของคุณ ความคาดหวังนี้สร้างแรงกดดันให้คุณไหม
ขอบคุณที่ชอบกัน แต่ผมก็ไม่สามารถแสดงอินเนอร์แบบนั้นกับทุกบทบาทได้ หนังบางเรื่องก็ไม่ได้ต้องการให้ผมแสดงถึงขนาดนั้น คงอยากให้เสน่ห์ในการแสดงของผมไปอยู่ที่จุดอื่นบ้าง แม้ว่าคนดูอยากจะเห็นอะไรในแบบที่เขาต้องการ ซึ่งผมก็ไม่อยากทำให้คนดูผิดหวัง บางที่ผมก็แอบใส่ลงไปนิดหน่อย (หัวเราะ) อย่างบท ‘น้อย’ ใน แสงกระสือ 2 ซึ่งเป็นงานแสดงแรกที่ผมไม่รับงานมาแปดปี ผมรับบทนี้เพราะจะได้ถ่ายทอดความรักของคนที่เป็นพ่อออกมา เพราะผมเชื่อว่าพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักของพ่อแม่ โดยเฉพาะความรักของแม่ที่มีต่อลูก เหมือนเวลาที่เราเห็นสิงโตตัวเมียจะคอยป้องกันลุกจากสิงโตตัวผู้ ซึ่งสิงโตที่เป็นพ่อมันไม่รู้สึกอะไรกับลูกของมันมากมายเลย ตอนที่รับบทนี้ผมยังอยากเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำจะได้รู้สึกว่าความรักที่ต้องการปกป้องลูกของตัวเองเป็นอย่างไร สำหรับผมบทนี้ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มาก เพียงแต่ผมไม่ได้ตะโกนออกมาว่า “มึงกับกูต่างกันแค่เสื้อผ้า…” อะไรแบบนั้น (หัวเราะ) แต่ความรู้สึกข้างในตัวผมนั้นเหมือนมีพายุที่หมุนอยู่ และมันถูกปล่อยออกมาในช่วงท้ายของหนังนิดหน่อย
อยากรู้ว่าเวลาซ้อมบทคุณใส่เต็มเหมือนตอนแสดงไหม
ผมไม่ปล่อยของเต็มที่เวลาซ้อม การขึ่้นเวทีร้องเพลงก็เหมือนกัน เพราะตอนเล่นจริงจะเป็นช่วงที่ผมเอาความเจ็บปวดของตัวเองมาเปิดเผยให้คนดู ซึ่งผมไม่อยากปล่อยสิ่งนี้ออกมาตอนซ้อม แต่น้องๆ นักแสดงก็เล่นเก่งมากนะ เขาสามารถร้องไห้ออกมาได้ทันที ซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคของแต่ละคน ถ้าเป็นผม ผมสนุกกับการออกไปลุยข้างหน้าเลยมากกว่า แต่การที่ผมไม่มีความมั่นใจ การที่มีคนไม่ชอบเรา กลับช่วยกระตุ้นให้ผมมีไฟในการแสดงมากขึ้นด้วย
คุณบอกว่าตัวเองไม่มีความมั่นใจ แต่ที่ผ่านมาอย่างเรื่องการร้องเพลงสิ่งที่เราเห็นกลับเป็นคนที่มีพลังอย่างสุดโต่งเลย
เชื่อไหมว่าผมร้องไห้บ่อยมากเลยนะ (หัวเราะ) แสดงเสร็จลงมาจากเวทีก็ร้องไห้ เพราะผมจะคิดมาก คิดว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดี ดังนั้นการแสดงออกมาแล้วดูแรงเพราะมันออกมาจากความกลัว จนเหมือนกลายเป็นคนละคนไปเลย แต่การแสดงของผมก็ต้องพีคในช่วงที่ใช่ด้วย ดังนั้นทุกครั้งก่อนเข้าฉากหรือขึ้นเวทีผมก็ต้องเตรียมตัว เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมต้องขึ้นเวทีกับ เสก โลโซ ซึ่งเขาชวนผมเป็นแขกรับเชิญ ผมก็รู้นะว่าคนดูอยากเห็นอะไรเพราะเรามีเหตุการณ์ไม่ดีต่อกันในช่วงก่อนหน้านั้น (หัวเราะ) ซึ่งคอนเสิร์ตใหญ่ของเสกเขาเล่นยาวๆ เลย ห้าชั่วโมง ถ้าตามปกติผมก็ต้องไปนั่งรอขึ้นโชว์แต่แรก แต่จะให้ผมไปนั่งรอสี่ชั่วโมงแล้วสร้างความรู้สึกให้พีคผมเองก็ทำไม่ได้ วันแสดงคอนเสิร์ตทีมงานโทรมาถามว่าผมอยู่ไหนแล้ว ผมก็บอกว่าอาบน้ำอยู่ (หัวเราะ) เพราะอีกตั้งสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงคิวผม ผมก็ขับรถไปที่อิมแพค นั่งทำอารมณ์ระหว่างขับรถไปด้วย ค่อยๆ เตรียมความพร้อมของตัวเองไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาผมก็ขึ้นเวทีเลย ที่จะบอกคือการแสดงก็เหมือนกัน แต่บางครั้งอารมณ์ผมก็ถึงเร็วเกินไปก็มี ผมก็ไปนั่งร้องไห้เสียใจตอนหลัง (หัวเราะ) เพราะแบบนี้ด้วยหรือเปล่าจึงทำให้นักแสดงสนใจการเล่นด้วยวิธี ‘Method Acting’ เพราะจะทำให้เขายังอยู่ในบทนั้นได้ตลอดเวลา เพราะเขาไม่อยากสูญเสียช่วงอารมณ์ที่ต้องไปให้ถึง ซึ่งก็เป็นที่เทคนิคของแต่ละคน อย่างนักแสดงอังกฤษเขาก็จะมีวิธีเข้าถึงบทที่เก่ง เช่น แอนโทนี ฮ็อปกินส์ หรือ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ เป็นต้น แต่นักแสดงอเมริกันอย่าง วาคีน ฟินิกซ์ พวกเขาจะมีการทดลองอะไรใหม่ๆ ตลอดที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละเทคเลย
พูดตรงๆ คุณก็เป็นแม่แบบที่ทำให้นักแสดงรุ่นใหม่ๆ ต้องแสดงให้ถึงแบบที่คุณเคยทำเอาไว้ด้วย
(หัวเราะ) ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้ตัวเหมือนกันว่าเด็กๆ เขาต้องเล่นให้ถึงแบบผมเหมือนกัน และผมก็เป็นเกียรติมากที่น้องๆ มาคุยกับผมเรื่องนี้ แม้กระทั่งคนดูเองก็มีคนที่เอาคาแรกเตอร์ของผมจากหนังเรื่อง อันธพาล (Gangster) มาสักบนตัว แต่ก็กลายเป็นความกดดันให้ผมด้วยว่าทุกครั้งที่เล่นหนังเราต้องไปให้ถึงสิ่งที่เขาต้องการ และหลายๆ ครั้งเทคนิคของผมก็ไม่ได้ล้ำลึกอะไร เช่น ฉากที่ผมต้องร้องไห้ บางทีผมก็ไม่ได้ทำอารมณ์ให้ถึงได้แบบนั้นทุกครั้ง ผมก็ใช้วิธีไปนั่งอยู่หน้าพัดลมในกองถ่าย เปิดตาค้างเอาไว้ จนตามันแห้งและน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมา แต่น้องๆ ทีมงานเข้าใจว่าผมกำลังนั่งทำอารมณ์ เขาก็บอกว่าทุกคนเงียบหน่อยพี่น้อยกำลังทำสมาธิ (หัวเราะ) พอน้ำตาผมเริ่มมาผมก็เข้าฉากเลย
การที่ผมเล่าเรื่องนี้เพราะผมอยากล้อเลียนตัวเอง ซึ่งเราควรจะต้องล้อเลียนตัวเองบ่อยๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่คิดไปว่ากำลังจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น การแสดงคือเรื่องของโชว์ เรื่องของธุรกิจ การเป็นนักแสดงหรือนักร้องเราแทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เราโชคดีมากเหลือเกิน ที่เดี๋ยวก็มีรถตู้มารับ มีเสื้อผ้าให้ใส่ มีบทดีๆ มาให้เราท่อง พอเราแสดงเสร็จรถตู้ก็พาเรากลับบ้าน เราแค่ต้องจำบทและแสดงออกมาให้ดี คนที่ต้องรับผิดชอบจริงๆ คือผู้กำกับ ซึ่งเขาต้องควบคุมทุกอย่าง แม้แต่การเป็นนักร้องก็เหมือนกัน ถึงเวลาก็มีคนมารับไปร้องเพลง ร้องไปสิบเพลงรับเงินแล้วก็กลับบ้าน ดังนั้นอย่าไปคิดว่าการเป็นนักแสดงเป็นเรื่องซีเรียสหรือเป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ได้ แต่ให้เชื่อมั่นว่าเพลงหรือหนังสามารถช่วยชีวิตคนได้ เหมือนที่ผมไม่มีฮีโร่ในชีวิตจริงแต่ฮีโร่ของผมจะเป็นตัวละครจากหนังทั้งนั้น ถ้าเราคิดแบบนี้ได้ก็จะทำให้ความกดดันนั้นลดลงไป ซึ่งผมเองก็รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นที่คิดแบบนี้
หนึ่งในความเห็นแง่ลบสมัยก่อนสำหรับคุณคือ “น้อย วงพรู จะเล่นใหญ่ไปถึงไหน” แต่เวลากลับพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณแสดงคือสิ่งที่คนดูรัก แบบนี้เรียกว่ามาก่อนกาลได้ไหม
ถ้าเป็นการแสดงผมว่าก็ไม่ได้เล่นใหญ่มากนะ แต่ถ้าเป็นคอนเสิร์ตก็มีโอเวอร์ไปหน่อย (หัวเราะ) บางอย่างผมก็พยายามมากไป อยากพิสูจน์ตัวเองเกินไป ต้องลองทำแบบนั้นแบบนี้ จนบางทีก็โอเวอร์เกินไปหน่อย ซึ่งในตอนนั้นใครที่จะหมั่นไส้ผมก็ไม่ว่ากัน เพราะผมก็หมั่นไส้ตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ) ทั้งหมดอาจจะเป็นแรงขับที่เรามักจะเห็นได้ในหนังฝรั่งหลายๆ เรื่อง ที่วัยรุ่นต้องการพิสูจน์ตัวเองจนทำอะไรเกินเลยในหนัง เพราะที่อเมริกาการที่จะต้องเป็นอันดับหนึ่งให้ได้ เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรม อเมริกาจึงเป็นประเทศที่มีความ superpower สูงมาก ทุกคนพยายามกันมาก ผู้คนแข่งขันกันมาก อยากพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ ยิ่งตอนนี้สื่อมี Youtube ยิ่งทำให้คนอยากมีตัวตนที่ชัดเจน ซึ่งการอยากพิสูจน์ตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าพยายามมากเกินไปเราก็ต้องยอมรับว่าอันตราย
คุณเคยเข้าใกล้คำว่า ‘อันตราย’ นั้นมาแล้วใช่ไหม
ใช่ ตอนนั้นเป็นตอนที่อยากพิสูจน์ตัวเองมากเกินไป แล้วก็คิดมากเกินไป ผมคิดเหมือนตัวเองเป็นนักกีฬา คิดว่าตัวเองเป็นเมสซี เป็นไทเกอร์ วูดส์ ที่จะต้องสร้างช็อตการเตะฟุตบอลหรือการตีกอล์ฟที่เจ๋งจนคนจำได้ตลอดกาล ดังนั้นสมัยที่ผมทำอัลบั้มวงพรู ผมก็ต้องทำให้คนจำผมได้ ตอนนั้นคอนเสิร์ตใหญ่ของวงพรู ที่สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ ผมก็ปืนขึ้นไปบนลำโพงเลย และเป็นลำโพงที่สูงมากแล้วก็ร้องเพลง พอร้องไปผมก็เอาแล้ว… จะต้องลงมาอย่างไรให้ทันเพลงท่อนต่อไป พอถึงท่อนที่สุกี้โซโล่ผมก็เอาไมค์ใส่กระเป๋าเข็มขัด ผมก็ไต่ๆ กระโดดๆ ลงมา (หัวเราะ) ซึ่งมันก็โอเวอร์นะแต่บางคนก็ยังจำได้ และก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่ผมคิดและวางแผนไว้เยอะมากแล้วไม่เวิร์กก็มี บางครั้งก็ตกเวทีไปเลย ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้บางทีก็กลายเป็นภาพจำให้เราได้โดยไม่รู้ตัว อย่างในหนังก็ฉากในเรื่องขุนพันธ์ที่ผมพูดว่า “มึงกับกูต่างกันแค่เสื้อผ้า…” ฉากผมกินของเสียใน 13 เกมสยอง หรือภาพของ จ๊อด ฮาวดี้ ที่ทำให้คนจำผมได้ ซึ่งเป็นแค่ซีนเล็กๆ แต่คนกลับจำเราได้ตลอดไป ซึ่งการจะเกิดสิ่งเหล่านี้นั้นคาดการณ์ได้ยาก แต่บางทีผมก็รู้ทันทีจากการอ่านบทว่ามันน่าจะเป็นไปได้
ซีนแรงๆ แบบนั้น คุณถูกเรียกร้องให้ปล่อยมันออกมาด้วยหรือไม่ในตอนถ่ายทำ
ใช่ครับ ผมรู้ว่าเขาต้องการอินเนอร์อะไรสักอย่าง แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าต้องปล่อยออกมาแบบไหน เช่น ฉากในหนังเรื่องขุนพันธ์ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมจะต้องถุยกระสุนออกมาแบบไหน แต่ผมรู้ว่าฉากนี้คือฉากที่เป็นซีนสำคัญ นักแสดงหลายคนก็ฝันใฝ่ที่จะได้ฉากเหล่านี้ ซึ่งผมก็รู้ว่าฉากนี้นั้นดีและผมก็ไม่อยากทำพลาด เขาอุตส่าห์เขียนบทแบบนี้มาให้เราแล้ว เขาสร้างช่วงเวลาสำคัญในหนังมาให้ผมแล้ว และผมก็รู้ว่าตัวเองมีเวลาเหลือในชีวิตไม่เยอะแล้ว ไม่แน่ในอีก 30 ปี ข้างหน้าผมอาจจะตายแล้วก็ได้ ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะมีรถกี่คัน ผมอยากจะจำเหตุการณ์ที่ผมได้พาลูกชายไปปีนเขาด้วยกันมากกว่า ดังนั้นการสร้างความจดจำแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคงอยู่ได้ตลอดไป จึงเป็นเป้าหมายของผม ผมอยากมีหนังที่ตัวเองแสดงในแบบที่เขาเรียกว่า ‘วางรีโมท’ เอาไว้ เหมือนที่เวลาที่เรากดไปเจอหนังอย่าง Forrest Gump (1994) หรือ Jerry Maguire (1996) ที่มีฉากจำสำหรับคนดู ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทีมงานทุกคนคาดหวังที่จะให้มันเกิดขึ้นมาในผลงานของตัวเอง ซึ่งในแสงกระสือ 2 เราก็พยายามสร้างความรู้สึกนี้ให้เกิดขึ้น ทั้งฉากที่ผมต้องสู้กับกระหัง ส่วนนิ้ง (ชัญญา แม็คคลอรีย์) กำลังจะกลายเป็นกระสือ เจเลอร์ (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) กำลังพบกับความปั่นป่วน ผมเชื่อว่าแฟนๆ อยากเห็นฉากที่สนุกโดยเฉพาะ น้อย วงพรู กำลังสู้กับกระหัง ซึ่งเราเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่มีพลังวิเศษ ผมต้องทุบกับ ปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) ซัดกันจนกลิ้งกันไปมา ซึ่งฉากนี้ผมก็เตรียมพร้อมมาแล้ว ทั้งการระเบิดอารมณ์ การใช้น้ำเสียง คำพูดอย่าง “มึงอยู่ไหน 50 ปี ที่กูรอมึงมานานแล้ว มาสิ!” ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะออกมาดีหรือไม่ดีก็ได้ ไม่มีอะไรคาดเดาได้ แต่สุดท้ายหนังเรื่องนั้นก็จะเป็นลูกของผู้กำกับไม่ใช่ลูกของผม ไม่เหมือนงานเพลงที่เป็นลูกของผมเอง ผมเขียนเพลงนั้นขึ้นมาเอง เวลาที่อัลบั้มไม่ได้การตอบรับที่ดีผมก็จะเจ็บปวดมากกว่าหนังที่ผมเล่นแล้วออกมาไม่ดี
ถ้า ‘พรู’ อัลบั้ม ไม่ได้ประสบความสำเร็จจนเกินคาด คุณจะเจ็บปวดกับอัลบั้มต่อๆ มาน้อยลงไหม
พรูเป็นวงดนตรีที่เรียกได้ว่าเป็น one album wonder ออกงานมาสองอัลบั้ม และอัลบั้มที่สองนั้นเจ๋งมากๆ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จแต่คนสายอาร์ตก็ชอบกันเยอะ ผู้กำกับอย่าง เต๋อ นวพล ก็เอาเพลงจากอัลบั้มที่สองไปใช้ในหนังของเขา อัลบั้ม Zero (0) มันดี แต่เพลงไม่ป็อปเท่ากับอัลบั้มแรก แต่มีหลายเพลงที่เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงหลัง เช่น โปรด, รักคุณ หรือ บิน ที่เราคาดหวังว่ามันจะดัง แต่ก็ไม่เวิร์ก แต่ก็ขอบคุณที่หนังแสงกระสือ 2 ได้เอาเพลง ห้วงรัก ซึ่งเป็นเพลงของผมกลับมาใช้ในหนังเรื่องนี้ด้วย
ทุกวันนี้คุณร้องไห้น้อยลงไหมหรือยังร้องเท่าเดิมอยู่
ถ้าหลังเล่นคอนเสิร์ตผมร้องไห้น้องลงแล้ว แต่ยังร้องอยู่นานๆ ที ก็มีบางครั้งที่ผมอยู่ๆ ก็พังไปเลย เพราะรู้ว่าตัวเองเล่นไม่ถึง แต่ผมก็พูดได้แล้วว่าผมรู้สึกดีกับตัวเอง ผมรู้สึกว่าที่คนเข้ามาทักทายขอถ่ายรูปกับผมไม่ได้เกิดจากระบบซีเนียร์ริตี้หรือเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ แต่เป็นการที่เขารู้สึกชื่นชมผมจริงๆ ซึ่งผมก็อายๆ บ้าง แต่ก็เริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
อริสโตเติลเคยกล่าวว่า “มนุษย์ต้องการการร้องไห้เพื่อชะล้างตะกอนบางอย่างในใจออกไป” ความคิดนี้สอดคล้องกับตัวคุณบ้างไหม
ใครๆ ก็ชอบการร้องไห้ว่าไหม… (เราส่ายหน้า) อ้าว!ไม่เหรอ? (หัวเราะ) เวลาอกหักเราก็เปิดเพลงช้าๆ ร้องไห้ นั่งดูตัวเองในกระจก เป็นความรู้สึกที่สะใจฉิบหาย ที่ตัวเองอินไปกับความเจ็บปวด ผมเห็นลูกสาวอกหักเขาก็ขังตัวเองไว้ในห้องน้ำแล้วก็ร้องไห้ เปิดเพลงคลอไปด้วย ซึ่งดูแล้วก็น่ารักดีนะ (หัวเราะ) ซึ่งผมเข้าใจเขานะ ก็คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ ซึ่งเขากำลังหาทางจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ หรือไม่เขาก็กำลังสนุกกับความเศร้าอยู่ก็ได้ เพราะผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอย่างไร เขาไม่ได้บอกเราทุกเรื่อง
หรือการที่คุณมักจะร้องไห้บ่อยๆ เพราะกำลังสนุกกับความเศร้านั้น
ผมไม่น่าจะเป็นแบบนั้นหรอก ถ้าใช่คงทุเรศตัวเองน่าดู (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นการดูหนังผมก็สนุกกับการได้ร้องไห้จากหนังที่เราดูอยู่นะ แต่ถ้าเป็นการร้องไห้เพราะผิดหวังในตัวเองแบบนั้นไม่สนุกเลย มันเจ็บปวดจริงๆ กินอะไรก็ไม่ลง การเสียใจจริงๆ ไม่สนุกเลยครับ
ตอนนี้คุณยังกลัวที่ตัวเองจะถูกลืมหลังจากที่ไม่อยู่แล้วอีกไหม
ผมยอมรับว่าผมผ่านจุดพีคของตัวเองแล้ว ถึงเวลาที่ต้องยอมรับแล้วว่าวันหนึ่งคนจะไม่อยากมองเราแล้ว เพราะเราแก่ คนในวงการบันเทิงต้องรู้ว่าสักวันเราจะมาถึงจุดนั้น จุดที่คุณจะไม่ใช่คนเดินเรื่องอีกต่อไป ถ้ายังไม่เข้าใจแปลว่าคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว เป็นความหลงตัวเอง (หัวเราะ) ผมเข้าใจว่าใครก็อยากดูเท่ดูคูลตลอดเวลา โดยเฉพาะในวงการบันเทิงที่เราต้องขายตัวเอง คำว่า cool is the best word ผมก็พยายามตามมาตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมได้สร้างไว้ถ้ามันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ใครได้ ผมก็รู้สึกดีมากแล้ว ตอนนี้ผมว่าผมไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองแล้ว เอ๊ะ! ไม่สิ ยังต้องพิสูจน์อยู่สิ ผมเชื่อว่ายังมีอะไรที่ยังไม่เต็มอยู่ มีอะไรที่ขาดอยู่ มีบางสิ่งที่ I need it! สิ่งนี้ที่ทำให้ผมยังมีไฟ เรายังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว เราเห็นเพื่อนในไอจีหรือเฟสบุ๊ก เรารู้สึกว่าเพื่อนเราแก่เหลือเกิน เราดูเด็กกว่าเขาเยอะ เราดูดีกว่า เราใช้ได้กว่า ซึ่งจริงๆ เขาก็มองเราแบบนั้นเหมือนกัน (หัวเราะ) คือผมจะบอกว่าพวกเราต่างยังรู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มยังสาวกันอยู่
พิสูจน์ตัวเองอย่างไรที่จะไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
ผมว่าคุณต้องระวังตัวเองตลอดเวลา ต้องรู้ว่าที่เราทำไปวันนั้นเราพยายามมากเกินไป ลูกชายเคยมาบอกผมว่าเขาอิจฉาเพื่อนที่เพื่อนเขามีร่างกายที่ฟิตกว่า ผมบอกเขาว่านี่เป็นเรื่องที่ดีที่เขามาคุยกับผม และอธิบายไปว่าลูกกำลังรู้ตัวว่าอิจฉาเพื่อน เป็นความรู้สึกที่ไม่รู้ตัว และลูกกำลังจะไม่โอเคกับเขา ซึ่งเพื่อนของลูกไม่รู้ว่ากำลังมีความมืดเข้าใกล้ตัวเขา
ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้จักตัวเราค่อนข้างดี ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ทำพลาดไป พยายามมากไป ผมจะขอโทษทันที การขอโทษเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าการขอโทษทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี เราก็รู้สึกดีไปด้วย แต่การขอโทษสำหรับบางคนเป็นเรื่องยาก เพราะมันคือศักดิ์ศรี ผมจึงสอนลูกให้รู้จักขอโทษ รู้จักการยอมรับผิดว่าเราก็พลาดกันได้ เพราะในชีวิตทุกคนสามารถทำเรื่องผิดพลาดได้เสมอ อย่างวันนี้หลายเรื่องที่ผมพูดไป ผมอาจจะผิดก็ได้ ถ้าผิดผมก็จะขอโทษทันที แค่เราอย่าทำผิดกับเรื่องเดิม อย่าให้เกินสี่ครั้ง ถ้าพลาดกับเรื่องใหม่ๆ ก็พลาดกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ผมต้องระวังตัวในเรื่องนี้ตลอด เพราะเดือนหน้าผมอาจจะไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ขึ้นมาก็ได้ (หัวเราะ) เราก็ต้องมองตัวเอง เข้าใจตัวเอง มองว่าอีกคนเขาจะรู้สึกอย่างไร และเข้าใจด้วยว่าหลายครั้งที่คนเราทำผิดพลาดมันเกิดขึ้นจากการทำลงไปเพราะความรัก ความรักมักทำให้คนทำอะไรผิดพลาดได้บ่อยๆ
สุดท้ายทุกคนต้องใช้เวลา แต่ไม่ใช่เพื่อการพิสูจน์ตัวเอง แต่เป็นการสร้างบางอย่างเพื่อให้คนยอมรับในตัวเรา บางคนอาจจะเกิดมาโชคดีมีพรสวรรค์ เกิดมาก็ร้องเพลงได้เพราะเลย แต่สำหรับผม ผมนับถือคนที่ไม่มีพรสวรรค์แต่เขาทำงานกับสิ่งสิ่งนั้นจนตัวเขาได้การยอมรับ ซึ่งวันนี้ในวัย 52 ปีของผม ผมก็เชื่อว่าตัวเองควรได้การยอมรับแล้ว เพราะผมทำงานในวงการนี้มานาน ผมโดนวิจารณ์ โดนด่า ผมได้ลองทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ผมพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกดี ดังนั้นคุณจะบอกว่าไม่ชอบผมก็ได้ แต่คุณจะมาบอกว่าผมไม่พยายามไม่ได้ เพราะอย่างน้อยที่ผมอยู่ในวงการบันเทิงนี้ผมก็ทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่ได้เอาเปรียบหรือหลอกลวงใคร
เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ / ชุติมณฑน์ แก้วมี ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ