ปันปัน

‘หาคนที่ศีลเสมอกัน’ การรักษาไว้ซึ่งความสุขในชีวิตของ ‘ปันปัน’ – สุทัตตา อุดมศิลป์

        “เราไม่ใช่คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่ก็ไม่ใช่คนที่กดความมั่นใจของตัวเองให้ต่ำลง เราไม่ใช่คนที่ดูฟีลกู้ด แต่ก็ไม่เคยหลงตัวเอง ตอนเด็กๆ เราเป็นคนเอาแต่ใจก็จริง แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง หรือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วต้องทำตัวเชิดใส่คนอื่น”

        คำบอกเล่าของ ‘ปันปัน’ – สุทัตตา อุดมศิลป์ นักแสดงหญิงที่เราเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก เธอเปิดใจกับเราอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่ถามไปว่ารู้สึกอย่างไรที่คนทั่วไปมองว่าเธอดูเป็นคนที่เข้าถึงยาก และมีบุคลิกดื้อรั้นเหมือนตัวละครหลายเรื่องที่เธอแสดง

        ย้อนกลับไปก่อนหน้าวันที่เธอเข้าวงการบันเทิง ตอนนั้นปันปันมีอายุเพียงสี่ขวบเศษๆ เท่านั้น แต่ก็ฉายแววโดดเด่นไปเข้าตาแมวมองจนถูกเชิญให้มาเล่นโฆษณามากมายจนได้ทำในแวดวงนี้มาตั้งแต่นั้น และมามีชื่อเสียงจนคนส่วนใหญ่รู้จักในหนังเรื่องลัดดาแลนด์ และซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น

        ช่วงวัยรุ่นของปันปันเธอคือเด็กสาวที่ผู้ใหญ่หลายคนเป็นห่วง เพราะพฤติกรรมและการแสดงออกในโซเชียลเน็ตเวิร์กของเธอนั้นดูไม่ค่อยน่ารักสักเท่าไหร่ จนหลายคนเป็นห่วงว่าจะทำให้อนาคตในวงการบันเทิงของเธอจะค่อยๆ ดับแสงลง

        วันนี้เธอเติบโตขึ้นโดยนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความพลาดพลั้งในอดีต มาใช้ปรับปรุงเพื่อเป็นคนใหม่ในเวอร์ชันที่ดีขึ้นแต่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมีความสุข

 

        “เรามองเห็นภาพตัวเองตอนนั้นเป็นเด็กที่แสบๆ ซ่าๆ ทำอะไรไม่ค่อยคิด ทำอะไรตามใจตัวเองระดับหนึ่ง”

        ปันปันยอมรับว่าในอดีตเธอเป็นคนที่เอาแต่ใจ ชอบโวยวาย เรียกว่าสามารถกาถูกได้ทุกข้อของคุณสมบัติเด็กนิสัยไม่ดี

        แต่ก็ต้องยอมมรับด้วยเหมือนกันว่าผู้ใหญ่เองก็เป็นฝ่ายที่เอาอกเอาใจ ตามใจเธอมาตลอดในช่วงวัยที่ผ่านมา

        “เพราะเราทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก และเป็นคนเบื้องหน้ามาตลอด คนรอบตัวจึงสปอยล์เรามาโดยตลอด อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ให้ทำ ถ้าทำผิดก็ไม่ค่อยมีคนว่ากล่าวตักเตือน เราไม่อยากทำ เราร้อน เขาก็ตามใจ จึงกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นภาพลักษณ์ติดตัวเราแบบนั้น แต่พอโตขึ้นก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ทำแบบนี้ไม่ดีนะ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ ยังมีคนอีกเยอะแยะที่อยู่รอบตัวเรา เราต้องคิดถึงคนอื่นๆ ด้วย”

        ใครกันที่ทำให้คนหัวดื้อแบบคุณเปลี่ยนความคิดนี้ได้ – เธอยิ้มให้เราก่อนที่ตอบคำถามนี้

        “คุณพ่อเคยพูดไว้ว่าเมื่อเราเกิดขึ้นมายังไงก็ต้องมีคนที่เก่งกว่าเราอยู่แล้ว และมีคนที่ด้อยกว่าเราด้วยเหมือนกัน สิ่งสำคัญคือเราต้องปฏิบัติกับทุกคนให้เหมือนๆ กัน คนแต่ละคนมีความเก่งในตัวเองคนละด้าน เราอาจจะเก่งในด้านหนึ่ง แต่อีกด้านเราก็อาจจะทำอะไรได้แย่มากๆ เช่นกัน”

        น่าคิดเหมือนกันว่าหากเธอยังคงเป็นคนเดิมๆ ที่ดื้อรั้นเหมือนเมื่อก่อน ในวันนี้หญิงสาวคนนี้จะเป็นอย่างไร

        “เราอาจจะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจจนเกินไปก็ได้ เพราะการที่เราอยู่ในจุดนี้แล้วไม่มีคนมาช่วยดึงเราลง เราอาจจะเหลิงไปไกลจนหลุดไปเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงต้องเหนื่อยมากๆ แน่นอน ดีที่ว่าเรารักษาสมดุลในเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี”

        สิ่งที่เขาพูดกันว่า ‘สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง’ เอามาบอกถึงความผิดพลาดในอดีตของเธอได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือการก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านั้น โดยที่ไม่ต้องเจ็บปวดไปกับมันทุกครั้งที่มีคนขุดเอาอดีตของเธอขึ้นมาพูดถึง

        “มองย้อนกลับไปก็เป็นเหมือนบทเรียนใหญ่ในชีวิตที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ตอนนั้นเราก็เป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทำสิ่งผิดพลาด แล้วทุกคนก็มาเหยียบย่ำในความพลาดของเรา แต่โชคดีที่เรายังไม่ถึงกับรู้สึกหดหู่ เพราะตัวเองเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ข้อดีของเราคือเป็นคนที่สามารถมองหาอะไรที่ดีๆ ในเรื่องแย่ๆ ได้ เช่น ถ้าเราประสบอุบัติเหตุแรงๆ ขึ้นมา เราก็จะพยายามมองหาด้านสว่างในสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยฉันก็เป็นแค่นี้ ฉันไม่ได้เจ็บหนักไปกว่านี้”

        “เราค่อนข้างเป็นคนที่จัดการความรู้สึกตรงนี้ได้ดี” เธอกล่าว

        “เพียงแค่เชื่อว่าถ้าคุณเป็นคนแบบไหนสิ่งที่สะท้อนออกมาก็คือตัวตนของคุณเอง ถ้าเราเป็นคนที่เอาแต่คิดลบ มองทุกอย่างเป็นเรื่องแย่ไปเสียหมด กดตัวเองให้ตกต่ำ ทุกวันเราจะตื่นขึ้นมาโดยไม่มีความสุข เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วจะทำอะไรก็แย่ไปหมด แม้ว่าคุณจะรวยขนาดไหน คุณจะสวยหรือเก่งขนาดไหน แต่ถ้าวันไหนที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วคุณไม่แฮปปี้กับตัวเอง ความคิดมันก็จะหดหู่ไปเอง

        “สมมติว่ามีช่วงหนึ่งที่ชีวิตเรารู้สึกตกต่ำมาก ไม่มีอะไรดีเลย ทำไมมันแย่ขนาดนี้ เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วหายใจเข้าออกสักสามที จากนั้นก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้น วันนี้อาจจะเป็นวันที่ไม่ดีแต่พรุ่งนี้ต้องดีขึ้นแน่นอน พรุ่งนี้ต้องโอเคกว่านี้ ค่อยๆ ปล่อยเรื่องทุกข์ใจออกไป เดี๋ยวหมอกร้ายก็จะค่อยๆ จางหายไปเอง”

        เราบอกไปตามตรงว่าตอนแรกที่เฝ้าดูเธอและเข้าใจว่าปันปันสามารถก้าวผ่านวันที่มืดหม่นได้มาได้ เพราะใช้ความมั่นใจในตัวเองที่มีอยู่สูง แต่ตอนนี้เชื่อแล้วว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนที่ไม่สนใจหรือไม่ห่วงใยความรู้สึกของใครเอาเสียเลย 

        “เราไม่ได้ชมตัวเองนะ แต่เรามั่นใจว่าในเบื้องต้นเลยเราไม่ได้เป็นคนที่เลวร้าย” เธอหัวเราะตัวโยนจนทำเราหลุดขำตามไปด้วย 

        “เราเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วตัวเองค่อนข้างเป็นคนดี (หัวเราะอีกรอบ) เพราะเราไม่เคยคิดร้ายกับใคร ซึ่งสิ่งนี้มากกว่าที่ทำให้เราผ่านเรื่องแย่ๆ ตรงนั้นมาได้ และทำให้ดึงดูดคนดีๆ เข้ามาหาเรา การที่มีคนดีๆ เข้ามาทำให้เรารู้ว่าต้องดูแลเขาให้ดีประมาณหนึ่งด้วยซึ่งเรามั่นใจว่าตัวเองจัดการตรงนี้ได้ดี”

        เรียกว่าเข้ากฎ Law of Attraction หรือ กฎแห่งแรงดึงดูด ที่คนเราจะดึงดูดคนที่เหมือนๆ กันมาอยู่ในวงโคจรเดียวกัน

        “ตอนเด็กๆ เราอาจจะมีนิสัยที่ไม่ค่อยดีหรือทำอะไรไม่ค่อยคิดมันจึงมีหมอกร้ายเกิดขึ้นมา แต่เมื่อถึงวันที่เราคิดได้และเริ่มดูแลคนรอบตัวให้ดี คิดแต่เรื่องดีๆ ให้มากขึ้น ทางเดินก็จะค่อยๆ เปิดให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ และคนที่ไม่ดีในชีวิตก็ค่อยๆ หายไป คนไหนที่ทำให้เรารู้สึกเป็นพิษเราก็ค่อยๆ ถอยห่างออกมา เหมือนที่เขาบอกว่าพอคนที่ศีลไม่เสมอกันยังไงก็คบกันต่อไม่ได้ แม้ว่าเราจะไม่เคยทะเลาะหรือผิดใจกันเลยก็ตามแต่คนแบบนั้นก็จะค่อยๆ หายไปเอง

        “ชีวิตจะทำให้เราพบกับผู้คนที่เข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ อยู่แล้ว ในแต่ละปีก็จะเจออยู่แล้วว่าเดี๋ยวคนนี้จะอยู่ต่อ แต่คนนี้จะเดินออกไปจากชีวิตเรา ซึ่งทุกวันนี้คนที่ยังอยู่กับเราก็เหมือนกับพากันเติบโตกันไปเรื่อยๆ ดังนั้นสำหรับเราความรู้สึกของคนรอบตัวจึงสำคัญมาก”

        ต้องเป็นคนแบบไหนที่สามารถเป็นเพื่อนแท้หรืออยู่เป็นคู่ชีวิตกับเธอได้แบบยาวๆ – เราถามกลับ

        “เราไม่ได้ฝันหวานแบบเจ้าหญิงดีสนีย์นะ แม้ว่าจะชอบดูหนังรักโรแมนติกมากๆ ก็ตาม” เธอตอบเหมือนรู้ทันความคิดเรา

        “เรารู้ว่าไม่มีใครที่เปอร์เฟ็กต์ไปหมดทุกอย่างอยู่แล้ว ทุกคนมีข้อดีและข้อเสีย แต่สิ่งที่เราต้องการจากใครสักคนในวันนี้ ขอแค่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ พูดคำไหนคำนั้น ตรงต่อเวลา ไม่ใช่แค่พูดอะไรส่งๆ แล้วทำตัวเละเทะใส่คนอื่น ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องให้เกียรติผู้หญิง ถ้าเป็นคนที่เราอยากใช้ชีวิตด้วยก็ต้องไม่เจ้าชู้ ให้ความสำคัญกับครอบครัวของเขาก่อน เช่น ถ้าต้องเลือกระหว่างไปกับเราหรือไปกับแม่ของเขา ถ้าเขาเลือกเราเป็นอันดับแรกคือจบเลย เขาต้องเลือกครอบครัวของเขาก่อน ถ้าเขาบอกว่าต้องไปกับแม่เราจะโอเคมากๆ คือไปได้เลย เรายินดีที่เขาเลือกแบบนั้น”

        นอกจากความใส่ใจต่อคนรอบตัวแล้ว เธอก็ยังรักตัวเองมากๆ ด้วย โดยแสดงออกมาจากการที่เธอเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้าน integrative medicine และสนใจในเรื่องของเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งเธอบอกว่าเป็นความชอบส่วนตัว และไม่ได้เรียนไปเพื่อให้ตัวเองคงไว้ในเรื่องของความสวยความงาม แต่เป็นการทำความรู้จักและวางแผนให้กับชีวิตในอนาคต

        “เราไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะแก่ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่อยากเรียนรู้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อถึงวัยชราแล้วยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงต้องดูแลตัวเองเยอะๆ เราไม่อยากเป็นคนที่อายุเยอะแล้วต้องติดเตียง ไม่อยากให้พ่อแม่หรือคนที่เรารักต้องเจ็บปวดทรมานเมื่ออายุมากขึ้น เพราะต่อไปคนเราจะอายุยืนยาวขึ้น เพราะมีนวัตกรรมที่มาช่วยยืดอายุขัยให้เพิ่มขึ้น แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเรามีอายุยืนยาวมากกว่า 80 ปีแล้วต้องเจ็บป่วยจนถึงขั้นนอนติดเตียง แล้วเราจะอยู่แบบนั้นไปเพื่ออะไร เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างรอบตัวล้วนสามารถทำให้เรากลายสภาพเป็นแบบนั้นได้ ทั้งความเครียดจากการทำงาน ยิ่งคิดมากก็นอนไม่หลับ บางคนกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่จากคนข้างๆเข้าไป มันก็เข้าไปสะสมในร่างกายได้เช่นกัน แล้วถ้าวันหนึ่งร่างกายเกิดช็อตขึ้นมาตอนนั้นก็จบเลย และทุกวันนี้เราโชคดีมากที่ยังไม่เคยสูญเสียคนใกล้ตัวเลย ซึ่งในอนาคตต้องเกิดขึ้นแน่นอน และเราก็รู้ว่าตัวเองคงรับมือกับเรื่องนี้ได้ยากแน่ๆ ดังนั้นเราอยากเรียนรุ้เพื่อจัดการชีวิตให้มีประสิทธิภาพที่สุด”

       ตั้งแต่คุยกันมาเธอพูดเรื่องการจัดการและการจูนชีวิตตัวเองอย่างสมดุลอยู่เสมอ แล้วเธอวางแผนขั้นตอนเหล่านี้ไว้อย่างไร

        “เรามองตัวเองไปถึงปีหน้าแล้วว่าเรื่องการเรียนคงเป็นลำดับสำคัญแรก ส่วนเรื่องงานและการใช้ชีวิตก็จะบาลานซ์ให้ดีๆ จริงๆ แค่ทำสามเรื่องนี้ให้สมดุลได้เราคิดว่าชีวิตก็มีความสุขได้แล้วค่ะ”

        ปันปันถือเป็นนักแสดงที่มีงานชุกต่อเนื่องมาตลอด เอาแค่เร็วๆ นี้ก็มีทั้งซีรีส์และหนังใหญ่ออกมาให้เราดูติดๆ กันแล้วทั้ง แอน (Faces of Anne) , คลับสะพายฟาย 2 Class ซิฟาย ตอน สุภาษิตสอนหญิง และล่าสุดที่เพิ่งออนแอร์ไปคือ The Three Gentlebros คู่แท้แม่ไม่เลิฟ เรียกว่าวันนี้เธอน่าจะชัดเจนในทิศทางการทำงานของเธอระดับหนึ่งแล้วหรือเปล่า

        “คิดว่าก็ค้นพบตัวเองมากขึ้นแต่ยังไม่ได้กระจ่างใสขนาดนั้น” เธอหัวเราะลั่นที่เราแซวว่าใช้คำพูดสมกับที่เป็นคนเรียนมาทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยจริงๆ

 

        “การทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กค่อยๆ หล่อหลอมให้เราเป็นตัวเราในทุกวันนี้มากขึ้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สอนให้เราโตขึ้นและเปลี่ยนเราเป็นคนละคนจากเมื่อก่อน เราก็เรียนรู้และปรับปรุงตัวเองไปตามอายุที่มากขึ้น ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากนักแสดงหรือคนที่เราชื่นชมมาเสมอ เรายังต้องพัฒนาตัวเองอีกเยอะเพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลยสักนิด อย่างงานภาพยนตร์พอไม่ได้ทำนานๆ แล้วได้กลับไปทำก็เหมือนต้องเริ่มเคาะสนิมใหม่เลย อย่างการถ่ายหนังเรื่อง แอน (Faces of Anne) ก็ห่างจากเรื่อง เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ กว่าแปดปี ช่วงแรกก็มีความเก้ๆ กังๆ เพราะการกลับไปทำงานแสดงที่ต้องใช้กล้องตัวเดียวถ่ายทำอีกครั้ง เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่หมดเลยเหมือนกัน แต่บทหนังของพี่คงเดช ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายเลย” 

        “พี่คงเดชมีความชัดเจน เขามีภาพในหัวไว้แล้ว แม้ว่าตอนที่ได้บทหนังมาอ่านเราจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เราก็สามารถถามพี่เขาได้ว่าต้องตีความตัวละครอย่างไร เพราะบท ‘แอน’ บทแอนนั้นมีความ Abstract สูงมาก และซับซ้อนกว่างานที่เราเคยทำมา แต่ไม่รู้สึกกดดันเลย เพราะพี่เขาน่ารัก ไม่ดุเลย (หัวเราะ) และถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นการถ่ายหนังด้วยกล้องตัวเดียว แต่เขาก็สามารถจัดการเรื่องลำดับของการถ่ายได้ดีมากๆ แม้เราจะต้องถ่ายทำซีนเดิมๆ หลายครั้งแต่ก็ไม่ใช่การถ่ายไปแบบเลอะเทอะ เพราะเขาวางแผนในการถ่ายไว้อย่างดีแล้ว”

        เมื่อพูดถึงชีวิตในวงการบันเทิง ปันปันบอกว่า เธอก็ไม่กลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะถูกลดลำดับความสำคัญลงไปตามวัฏจักรของวงการบันเทิง ที่คลื่นลูกใหม่ย่อมเกิดขึ้นมาแทนที่คลื่นลูกเก่าเสมอ ขอแค่ได้บทที่ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมั่นในการทำงานเท่านี้ก็พร้อมลุย

        “เราเป็นคนที่เลือกงานประมาณหนึ่ง เลือกบทที่รู้สึกว่าเข้ากันได้กับตัวเองก่อน ถ้าบทไหนที่ดูยากเหลือเกิน แสดงแล้วต้องรู้สึกฝืนหรือทรมานเราเลือกที่จะไม่รับตั้งแต่แรกเลยน่าจะง่ายกว่า เพราะไม่อยากที่จะต้องรู้สึกจมดิ่งกันตอนที่จะถ่ายทำ เพราะเราอยากประคับประคองความสุขของชีวิตไว้ อย่างที่บอกว่าเราพยายามรักษาสมดุลสามเรื่องของตัวเองทั้งการเรียน การทำงาน การใช้ชีวิต และการเรียนปริญญาโทนั้นก็หนักมากอยู่แล้ว เราไม่อยากสอบตกและก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้กับกองถ่าย เพราะถ้าคิวของเราต้องถ่ายละครห้าวันติดกันแล้วอาทิตย์ต่อไปเกิดมีสอบขึ้นมา เราจะเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาแน่นอน แล้วถ้าคืนนั้นนอนน้อยเราจะทำข้อสอบได้หรือเปล่าหรือถ้าต้องไปกองถ่าย เราก็อยากไปทำงานด้วยความสดใสไม่ใช่ไปแบบมึนๆ ง่วงๆ และชีวิตส่วนตัวของเราก็ต้องดีด้วย ไม่ใช่ว่าเครียดไปหมดเสียทุกอย่าง ดังนั้นถ้าถามว่าความมุ่งมั่นของเราในวันนี้คืออะไร เรารู้คำตอบแล้วว่าคือการรักษาสมดุลให้ชีวิตตัวเอง และทำทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

        ทีนี้เราลองมาดูถึงวิธีการจัดการความเครียดของเธอแบบทีละขั้นตอนกันดีกว่า เพราะปันปันบอกว่าตัวเองเป็นคนสามารถเอาอยู่กับความรู้สึกนี้ได้อย่างดี

        “ถ้าเป็นการทำงานแล้วเราต้องรับบทที่หนักหน่วงมากๆ สมมติว่าต้องเล่นเป็นคนโรคจิตหรืออะไรที่หินมากๆ พอเลิกกองเราจะตัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปเลย เราจะไม่เก็บความรู้สึกนั้นกลับมาที่บ้านหรือเอามารบกวนการใช้ชีวิต ซึ่งโชคดีที่ยังไม่เจอกับบทบาทที่หนักขนาดต้องแบกมันไว้ตลอดเวลา เวลาอยู่บ้านก็จะดูหนังรักโรแมนติก หนังบู๊แอ็กชัน หรือหนังที่ดูแล้วไม่ต้องคิดเยอะ”

        เธอขยิบตาแล้วบอกว่าโดยเฉพาะหนังที่ขายความเพ้อฝัน นางเอกที่ชอบคิดไปเอง พระเอกหน้าตาดีแบบนี้จะชอบเป็นพิเศษแล้วก็หัวเราะพร้อมบอกว่าเห็นภาพเลยไหม

         “ก็แบบนี้นี่แหละ ขอดูหนังที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะชีวิตมีอะไรให้ต้องคิดเยอะแล้ว การดูหนังที่บ้านทำสำหรับเราคือการพักผ่อน แต่ถ้าต้องไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เราก็จะเลือกเรื่องที่ต้องใช้ความคิดตามหรือเรื่องที่ต้องการให้เราใจจดใจจ่อกับเนื้อหาของหนังจริงๆ”

        เรียกว่าการเปิดใจคุยกันครั้งนี้ เธอทำให้เรารู้ว่าเรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือเรื่องจิตใจตัวเอง สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพียงแค่ลองหยุดคิดไตร่ตรองเพื่อพยายามหาวิธีจัดการและมีการวางแผนที่ดี 

        ท้ายที่สุดแล้ว เราจะลุกขึ้นมายืนได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง


เรื่อง : ทรรศน หาญเรืองเกียรติ | ภาพ : สันติพงษ์ จูเจริญ