ความท้าทายของการเป็นซีอีโอ ทรานซ์วูแมน ของ ‘แอน’ – จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์

ลองนึกดูว่า หากคุณลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในร่างกายที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณ ความรู้สึกที่มีจะเป็นอย่างไร ‘แอน’ – จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ CEO แห่งบริษัท JKN Global Media คือผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความแปลกแยกภายในตัวตลอดเวลา ตัวตนที่ผิดฝาผิดร่าง จิตใจแท้จริงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นหญิง แต่เธอต้องอยู่ในฐานะลูกชายคนโตของครอบครัวคนจีนเก่าแก่ เจ้าของร้านวิดีโอย่านบางแค ที่ทำให้เธอต้องเผชิญความกดดันมากมายจากหลายด้าน

ความไม่เข้าใจว่าตัวตนภายในของเธอไม่ใช่ ‘การเลือก’ แต่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่วันแรกที่เกิด หรือบทบาทพี่คนโตในครอบครัว ที่โจทย์ใหญ่คือการประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ละก้าวย่างในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย เธอปลุกปั้นธุรกิจร้านวิดีโอของพ่อ และเปลี่ยนแปลงจากการ disruptive ในอุตสาหกรรม มาสู่การเป็นบริษัทผู้นำเข้าและส่งออกคอนเทนต์ระดับโลกรายใหญ่ของประเทศ

รวมทั้งการตัดสินใจครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงตัวตน เธอเลือกที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึก และกล้าที่จะบอกกับคนอื่นแล้ววันนี้ ว่าเธอคือซีอีโอบริษัทที่เป็น ‘Trans-woman’ คนแรกของประเทศไทย

พวกเขาไม่เข้าใจและหวังดี ในตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ การที่เราเป็นแบบนี้ไม่ใช่การเลือก แต่เป็นสิ่งที่ born to be

JKN Global Media

_

Life is Like a Jigsaw Puzzle
_

เรื่องราวในชีวิตคุณช่างทรงพลังเหลือเกิน การเปลี่ยนผ่านท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมาย คุณยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้อย่างไร

เราเกิดมาเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวคนจีนชนชั้นกลาง เป็นเจ้าของร้านวิดีโออยู่แถวย่านบางแค ไป-กลับโรงเรียนก็นั่งรถโรงเรียนทุกวัน ถูกบ่มเพาะสั่งสอนมาเหมือนลูกคนจีนทั่วไปที่ต้องตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อจะได้มาช่วยงานพ่อแม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต่างจากคนอื่นก็คือ ที่ใต้ถุนร้านวิดีโอมันคือ ‘ห้องสมุดวิดีโอ’ ขนาดยักษ์ ซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหาจากต่างประเทศทั้งหมด เด็กรุ่นใหม่อาจนึกไม่ออก แต่ก่อนเขาเรียกว่าเป็นม้วน VHS ใหญ่ๆ หนาๆ ช่วงเด็กเราโตมากับการที่ก่อนไปโรงเรียนและหลังกลับมาจากโรงเรียน ต้องดูวิดีโอ ดูหนังจีน ดูหนังฝรั่งทุกเรื่อง ซึ่งมันซึมซับเข้ามาอยู่ในตัวเราตลอดเวลา

จนเรียนมัธยมปลาย เราขอป๊าไปเรียนต่อต่างประเทศ เราชอบภาษาอังกฤษ เพราะชอบดูหนัง ดูซีรีส์ภาษาอังกฤษเสมอ ทำให้เรามีความคิดแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ เราไม่ดูละครไทยเลย เวลาที่คนอื่นไปกวดวิชากัน เราบอกป๊าเลยว่าขอเรียนภาษาอังกฤษอย่างเดียว แล้วก็บอกอีกว่าถ้าเรียนจบ ม.ปลาย ก็จะสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติดให้ดู เพราะไม่อยากเรียน ไม่รู้ว่าทำไมเราต้องมาอยู่ในกรอบสังคม เราเป็นคนดื้อและมีความกล้าคิดที่จะมีอิสระตั้งแต่เด็ก

นอกจากการมีห้องสมุดวิดีโอใต้ถุนบ้าน มีอะไรอย่างอื่นที่เป็นแรงผลักดันคุณ

มันคือความกดดันที่เรารู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดร่างมาโดยตลอด รู้ตัวมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ชอบเล่นกับน้องสาว ตอนแต่งตัวก็เอาชุดของคุณแม่กับน้องสาวมาใส่ตลอด เธอคนนั้นที่อยู่ในกระจก เป็นคำนิยามที่อยู่ในหัวเรามาตลอด เคยคิดว่ามีคนเห็นฉันไหม ฉันจะเป็นผู้หญิงคนนั้นได้ไหม ตั้งแต่เด็กๆ เราเรียนโรงเรียนผู้ชาย คือก็มีความสุขนะ (หัวเราะ) แต่อึดอัดกับตัวเอง ตกกลางคืนเราต้องนอนร้องไห้ เหนื่อยกับความรู้สึก เพราะไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ ครูบาอาจารย์ก็สอนเราว่า อย่าเป็นกะเทยเลยลูก เลิกเถอะ (หัวเราะ) หรือพ่อแม่ก็บอกว่า อย่าตุ้งติ้งสิ

พวกเขาไม่เข้าใจและหวังดี ในตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ การที่เราเป็นแบบนี้ไม่ใช่การเลือก แต่เป็นสิ่งที่ born to be แรงบันดาลใจทุกอย่างของเราเกิดความกดดัน จากความเข้าใจผิดของทุกคน ว่าตุ๊ด เกย์ กะเทย เป็นอะไรที่เพี้ยนๆ และจะเลือกเป็นทำไมในเมื่อมันผิดปกติ และถ้ายังจะเป็นแบบนี้ โตไปก็คงไม่เจริญหรอก คำนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในหัวเสมอ ซึ่งเราก็คิดเถียงในใจว่า แล้วไง จะไม่เจริญจริงเหรอ แล้วฉันก็ไม่ได้เลือกที่จะเป็นแบบนี้นี่นา เพราะฉะนั้น ฉันจะทำให้เธอดูว่าฉันเป็นกะเทยและเจริญได้ คำนี้คำเดียวเลย

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเป็น นักต่อจิ๊กซอว์ชีวิตอธิบายคำนี้หน่อย

ตอนเด็กๆ เคยเขียนบันทึกของตัวเองเอาไว้ ตั้งแต่อายุ 13 เขียนว่าฉันจะเป็นอะไร ฉันจะทำอะไร ฉันจะประสบความสำเร็จอย่างไร สมุดเล่มนั้นอยู่กับตัวเองเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วจิ๊กซอว์ก็เป็นไปอย่างที่เขียนเอาไว้ทุกอย่าง ตอนที่ไปเรียนอยู่ซิดนีย์ (มหาวิทยาลัยบอนน์) ก็บอกกับตัวเองว่าทำสิ่งที่อยากให้สะใจไปเลย ถึงวันหยุดก็แต่งหญิงออกไปเดินถนน จนกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 20 ก็คิดว่าเราต้องตอบแทน กลับมาเพื่อเป็นลูกชายให้ที่บ้าน รู้ไหมตอนนั้นเราทำยังไง ตอนนั้นกลับมาก็ตัดผมสั้นเลย จากไว้ผมยาวๆ ทิ้งเครื่องสำอาง ทิ้งเสื้อผ้าทุกสิ่งอย่าง คิดว่าฉันจะไม่เป็นผู้หญิงอีกแล้ว ทุกอย่างจบลงที่ซิดนีย์ ฝังเรื่องราวที่นี่ไว้ในใจตลอดไป

พอกลับมาเมืองไทยก็มุ่งมั่นมาทำธุรกิจที่บ้านต่อ จากร้านเช่า เราก็ปรับตัวมาเป็นผู้จัดจำหน่าย แล้วเราก็ค่อยๆ กลายเป็นผู้ค้าส่ง จัดจำหน่ายวิดีโอหลายๆ โปรแกรม อย่างจี้เส้นคอนเสิร์ต ภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ตอนนั้นมีอยู่โปรแกรมแนวหนึ่งที่ยังไม่มีผู้จัดจำหน่าย ก็คือแนวสารคดี ก็คิดว่าทำไมไม่มีใครเอาเข้ามา เราก็ติดต่อไปทางต่างประเทศ ตอนนั้นอายุ 20 เองนะ สารคดีตัวแรกที่เอาเข้ามาคือ Walking with Dinosaurs อัดเป็นม้วนวิดีโอ ตอนแรกใจแทบร่วงเลยเพราะเอาไปเสนอก็ไม่มีใครซื้อ ตอนกลางคืนนอนไม่หลับก็เปิดทีวีดูและเห็นรายการ TV Direct ที่มีจอร์จกับซาราห์น่ะ (หัวเราะ) เราก็เกิดความคิดว่า ถ้ายังไม่มีความต้องการในตลาด เราก็ต้องสร้างความต้องการขึ้นมาก่อน โดยตัดสินใจทำโฆษณา พอปล่อยออกไปก็ ตูม… ขายดีมาก มีเงินกลับมา 10 ล้าน ตอนอายุ 21 ตอนนั้นยังหันไปคุยกับป๊าว่า คุ้มแล้วนะที่ส่งไปเรียนเมืองนอกน่ะ (หัวเราะ) หลังจากนั้นเราก็เริ่มจับทางได้ ไปติดต่อซื้อสารคดีจาก National Geographic ไปซื้อคอนเทนต์จากแบรนด์ใหญ่ๆ มาไว้ ทั้งซีรีส์ฝรั่งอย่าง CSI หนังฝรั่งอื่นๆ จนพักหนึ่งก็มีจดหมายจากเกาหลีติดต่อมานำเสนอคอนเทนต์ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จัก เกาหลีคืออะไร อยู่ที่ไหนในโลก ก็ไปเพราะคิดว่าไปเที่ยวเล่น ไปดูคอนเทนต์ครั้งแรกยังไม่ค่อยมั่นใจ ไปครั้งที่สองเรากวาดมาหมดเลย แล้วขายคอนเทนต์ให้ช่อง ITV ช่อง 9, 3, 7 ธุรกิจที่ทำอยู่ในทุกวันนี้จึงเกิด

คุณพบเห็นสัญญาณอะไรที่ทำให้รู้ว่าธุรกิจวิดีโอกำลังจะตาย แล้วคุณปรับตัวอย่างไร

เราอยู่ในธุรกิจขายม้วนวิดีโอมานาน แล้วต่อมาก็เปลี่ยนเป็นวีซีดี เป็นดีวีดี จนมาถึงยุคของแผ่นบลูเรย์ เฮ้ย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วเราจะอยู่กันอย่างนี้เหรอ ธุรกิจของเราต้องอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีตลอด ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากๆ บุคลากรของเราที่ถูกบ่มเพาะมากับงานอย่างหนึ่ง พออุตสาหกรรมเปลี่ยนก็ต้องมาบ่มเพาะกันใหม่ แบบนี้พวกเราทุกคนจะไม่ไหวนะ ก็เลยมาคิดว่าทำอย่างไรดีถึงจะสามารถสร้างรากฐานที่มั่นคง ตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะที่เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าไอ้สิ่งที่เราขายๆ อยู่น่ะ มันไม่ใช่ม้วนวิดีโอนะ มันอยู่ในม้วนวิดีโอต่างหาก มันคือ ‘คอนเทนต์’

คำว่า gut feeling มันคือ automatic analysis ไม่ใช่ lucky moment

JKN Global Media 

_

Gut Feeling = Automatic Analysis
_

อยากรู้ว่าในแต่ละช่วงของการเปลี่ยนแปลง การตัดสินใจลงมือทำแต่ละอย่าง แต่ละโปรเจ็กต์ คุณใช้หลักการอะไรในการคิด

เราต้องใช้ทั้งการวิเคราะห์และสัญชาตญาณไปพร้อมๆ กัน ใช้ทั้งสมองและหัวใจ สมองเราก็ใช้นะแต่ว่าขอใช้หัวใจนำ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ฝังอยู่ในกระดูก ฝังอยู่ในเลือดเนื้อของเรา คำว่า gut feeling จะมีได้ต้องเกิดมาจากการที่คุณเหลาสมองจนแหลมคมตลอดเวลา คุณต้องวิเคราะห์ บริโภคเสพข้อมูลตลอดเวลา จนกลายเป็นว่าสิ่งนี้มันอยู่ในกระดูกและสายเลือด จริงๆ คำว่า gut feeling มันคือ automatic analysis ไม่ใช่ lucky moment นะ สิ่งนี้มันคือการประมวลผลสิ่งต่างๆ และตัดสินใจอย่างฉับพลัน จะมาถึงจุดนั้นได้คุณต้องวิเคราะห์เยอะมาก คุณต้องทำการบ้านกับตัวเองเยอะมาก ต้องเสพข้อมูลเป็นคนช่างคิดช่างวิเคราะห์ พอมีเรื่องอะไรเข้ามาเราตัดสินใจทำได้ทันที

คุณไม่เชื่อในเรื่องโชค?

ไม่ใช่เรื่องโชค คำว่าโชคดีไม่เคยเกิดขึ้น และเราห้ามคิดว่าเราจะโชคดีหรือไม่ ห้ามทำงานอยู่กับดวงหรือโชคชะตา เราเป็นคนที่เกลียดการดูหมอดูที่สุด แอนตี้มากๆ และบอกเลยว่าการปล่อยให้หมอดูมาทำนายอนาคตประเทศไทย เราจะล้าหลังขึ้นเรื่อยๆ การวิเคราะห์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คุณต้องวิเคราะห์ให้เป็น คุณอย่าไปสะเดาะเคราะห์ ความโชคดีคือการที่เราฝึกฝนตัวเองเพื่อที่เตรียมตัวโอกาสที่จะเข้ามา พอเวลาโอกาสเข้ามาแล้วตัดสินใจทำทันที

ตั้งแต่ทำธุรกิจมา คุณเคยจินตนาการความล้มเหลวของตัวเองไหม

เราเคยล้มเหลวมาแล้วด้วยซ้ำ เพราะว่าถ้าไม่เจ็บก่อนเราจะเข้าใจได้อย่างไร ตอนที่เราเริ่มปรับตัวมาเป็นขายคอนเทนต์แล้วนี่แหละ ตอนนั้นเราตื่นเต้นกับเงินที่เข้ามาเยอะ ตื่นเต้นกับลูกค้าที่เป็น B-to-B (Business to Business) เราก็เหมาคอนเทนต์มาเยอะเลย แต่สุดท้ายคนไม่ดู อย่างคอนเทนต์วิทยาศาสตร์ คนไทยไม่ดูประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับประเทศไทย การล้มเหลวก็ทำให้เรารู้ว่าคนดูอะไร คนไทยดูรายการท่องเที่ยว ดูอะไรที่สบายใจสบายตา ไม่ต้องคิดมาก ละคร หนังออสการ์นี่หยุดเลยนะ โลกสวยงานสวยล้ำเลิศในความคิดอย่าซื้อเข้ามาเด็ดขาด ประสบการณ์มันเป็นของเรื่องจากการลงทุนจากทุกอย่างที่ทำ

แต่ที่สำคัญคือเราไม่เคยจินตนาการหรือมองตัวเองว่าล้มเหลว ไม่เคยเลย แต่ระหว่างทางเราต้องเจ็บจนเข้าใจ คือก่อนอายุ 30 นี่ควรเจ็บให้เยอะที่สุด ให้มากที่สุด และถ้าอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณต้องคิดตั้งแต่ตอนเด็ก ถ้าจะต่อจิ๊กซอว์จริงๆ คุณต้องคิดไปถึงว่า ‘คุณคือใคร’ และ ‘คุณต้องการจะเป็นใคร’ และที่สำคัญ เราต้องท่องอยู่เสมอว่าเราต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เราต้องอยู่ด้วยแรงบันดาลใจ ไม่ใช่อยู่ด้วยแรงจูงใจ อย่าคิดว่าวันนี้ทำอะไรแล้วได้เงินเท่าไหร่ แรงบันดาลใจกับเงินแตกต่างกัน เราไม่เคยทำงานเพื่อหวังจะได้เงินเลย แต่ทำด้วยใจ และเงินจะมาเอง แต่คุณต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนนะ ไม่อย่างนั้นจิ๊กซอว์ที่คุณต้องต่อมันจะเปลี่ยนไปตลอด ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณตาย และอย่างสุดท้ายคือกล้าที่จะทำ ระหว่างทางเราเจ็บจนเข้าใจ แต่ว่าให้คิดไว้ว่ามันทำอะไรฉันไม่ได้

_

Back to Your Inner Self
_

JKN Global Media
ภาพ : กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร

 

เหมือนทุกอย่างในชีวิตคุณจะเป็นจิ๊กซอว์ชีวิตที่คุณวางมาตลอด แต่การเปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้หญิง ใช่จิ๊กซอว์ที่คุณวางไว้แต่แรกด้วยหรือเปล่า

ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย และเป็นลูกชายของป๊าม๊า เป็นอาตี๋ของบ้าน เราก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนอายุเกือบ 35 แต่บอกเลยว่าไม่เคยมีความสุขนะ เพราะมันว่างเปล่าข้างใน เรารู้ตัวเองชัดเจนมากว่าไม่ใช่ทั้งเกย์ และไม่ใช่ทั้งไบเซกชวล แต่เราคือ trans-woman เราต้องการมีร่างกายเป็นผู้หญิง และคนรักของเราต้องเป็นผู้ชายแท้ เกย์เดินเข้ามาเราไม่สามารถมีความรู้สึกกับเขาได้เลย แต่จุดเปลี่ยนแปลงมันคือตอนที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน ครอบครัวที่สวยหรูมากในสายตาของเราพังทลาย คุณแม่ก็มาบอกว่า ไม่เคยรักผู้ชายคนนี้เลยตั้งแต่แต่งงาน แต่ทนเพื่อเรา แต่เราก็โลกสวยและคิดว่าเขาอยู่ได้ แต่ความเป็นจริงมันอยู่ไม่ได้หรอก แยกกันอยู่ยังจะมีความสุขกว่าด้วยซ้ำ พอเขาเลิกกันจริงๆ ตอนอายุเราเกือบ 30 เราก็เริ่มมีอิสระของตัวเองในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อยากให้ท่านผิดหวัง แต่ถึงจุดหนึ่งเราก็ตัดสินใจบอก

คนแรกที่เราบอกคือป๊า วันนั้นเราเดินไปบอกว่าลูกคนนี้เป็นผู้หญิงนะ แกปิดทีวีแล้วหันมามอง แกอึ้งไปสักสองนาทีแล้วถามว่าแน่ใจเหรอที่พูด เราตอบว่าแน่ใจจริงๆ ตั้งแต่โตมาจนถึงปัจจุบันนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เกย์ด้วย แต่เป็นผู้หญิงที่เกิดผิดร่างจริงๆ แกอึ้งไปอีกสักสองนาที แล้วแกก็หันมาบอกว่ายังไงเราก็เป็นลูกป๊าเหมือนเดิม ช่วงเวลานั้นเราประทับใจมากที่สุด เรารู้เลยว่าความรักเป็นยังไง และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้ และเหมือนเราพิสูจน์ตัวเองมายาวนานกว่าจะสำเร็จ มันเกินขั้นกว่าที่จะมาห่วงคุยกังวลเรื่องการงานแล้ว ว่าการเป็นแบบนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ จะไม่เจริญ ก็ข้ามผ่านจุดนั้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราข้ามผ่านมาได้คือ ความสำเร็จ คำเดียวเลย การข้ามผ่านของเรามันข้ามผ่านความไม่เข้าใจของคน การเหยียดหยาม การดูถูก การถูกประณาม การตำหนิ

จริงๆ แล้วคนที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศที่คิดว่าตัวเองโดนสังคมหรือคนอื่นกดอยู่ คุณอยากให้เขามีวิธีคิดในชีวิตอย่างไร

ไม่ต้องโทษคนอื่นหรอก เขาแค่ต้องใช้สมองคิด ว่าขอบคุณทุกคนที่ให้แรงบันดาลใจเขา สิ่งนี้ไม่ใช่แรงกดดัน สิ่งที่เขาควรสนใจคือคุณค่าของตัวเอง การรักตัวเอง และการพิสูจน์ตัวเอง บอกตัวเองว่าไม่ต้องไปแคร์คนอื่น เขาจะพูดอะไรก็พูดไป เราเก็บสิ่งนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจ เราอยากจะเป็นอะไรก็ฝึกตัวเองให้เป็นเลิศในด้านนั้น จนวันที่เราประสบความสำเร็จ สิ่งที่เขาเคยพูดกับเรา ตัวเขาเองนั่นแหละจะละอายจนวันสุดท้ายของชีวิต

แล้วในบทบาทของการเป็นนักธุรกิจ การเป็นซีอีโอที่เป็น Trans-woman มีความท้าทายอย่างไรบ้าง

ทั้งในและนอกประเทศทุกคนยินดีต้อนรับเรามาก ทุกครั้งที่เราไปเจอผู้ใหญ่ในวงการ ทุกคนบอกกับเราคำเดียวเลยว่าดีใจด้วย เขาเข้ามากอด ช่วงแรกเรายอมรับว่ากังวลว่าคำว่า trust ความเชื่อใจ จะยังอยู่ไหม แต่พอเราไปจริงๆ ทุกคนร้องเรียกเราว่าแอน… ไม่ใช่แอนดรูว์ กอดเราจุ๊บซ้ายจุ๊บขวา นั่งคุยกับเราเขาก็ยิ้มไป ไม่มีใครปฏิเสธตัวตนเราเลย สิ่งที่เราทำมันคือการที่เราซื่อสัตย์กับตัวเอง เป็นการโชว์ให้เขาเห็นว่าเรามีแรงบันดาลใจที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะทุกคนอาจจะมีปมด้อยอย่างอื่น บางคนอาจจะมีความปรารถนาในชีวิตที่ยังไม่มีโอกาสจะแสดงออก เรากลายเป็นตัวอย่างให้เขาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ขอแค่ให้คุณมุ่งมั่นตั้งใจ เป็นตัวของเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง และทุกคนที่ทำงานกับเรากลับรู้สึกสบายใจ เพราะว่าไม่มีอะไรปิดบัง เราอยากทำให้คนรู้ว่า trans-woman วันนี้ทำอะไรได้มากกว่าเป็นช่างแต่งหน้าหรือนางโชว์ คนคนนี้สามารถเป็นซีอีโอบริษัทได้