Editor’s Note 512 : Life’s Story ชีวิตดั่งซีรีส์

จำได้ว่าทีวีซีรีส์เรื่องแรกที่ผมติดงอมแงมคือเรื่อง 24 พอดีตอนนั้นเป็นช่วงจังหวะที่กำลังโสดสนิท และรู้สึกว่าชีวิตการทำงานของตัวเองล้มเหลว ก่อนจะถึงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ปีนั้น เพื่อนที่ทำงานเห็นสภาพซึมเศร้าเหงาหงอยของผมก็นึกสงสาร เขาเลยขนบอกซ์เซตทีวีซีรีส์ 24 กองพะเนินมาให้ยืมดูฆ่าเวลา เพื่อจะได้ข้ามผ่านวันหยุดยาวๆ ไปได้อย่างปลอดภัย

แล้วก็ได้ผลจริงๆ มันเหมือนกับนั่งยานทะลุมิติ จากวันหยุดวันแรกไปจนถึงวันเปิดงาน ตลอดทั้งเทศกาลนั้นผมแทบไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น นอกจากการนอนกลิ้งไปมาอยู่หน้าจอทีวี พอเมื่อยตาก็พักไปเข้าห้องน้ำห้องท่า หรือพักต้มมาม่ามากินวนๆ ไป จนถึงทุกวันนี้ พอมองย้อนหลังกลับไปก็รู้สึกทึ่งว่าทำไมตัวเองถึงได้ทนอึดขนาดนั้น นึกสงสัยว่าทีวีซีรีส์พวกนี้มันมีเวทมนตร์ลึกลับอะไร จึงได้สะกดคนดูให้เกาะติดได้นานเป็นวันๆ

ผมนึกถึงพฤติกรรมคล้ายๆ กันนี้ในสมัยก่อน ตอนเด็กๆ พวกเราหลายคนคงเคยไปเช่าหนังจีนชุดมาจากร้านวิดีโอแถวบ้าน หอบหิ้วกันกลับมาทีละห้าม้วนสิบม้วน เพื่อที่บ้านเราจะได้เปิดดูด้วยกันตอนค่ำๆ ไปตลอดทั้งอาทิตย์ ไม่ใช่แค่หนังชุดเท่านั้น เรายังเคยซื้อนิยายกำลังภายในเรื่องยาวๆ หรือเช่าหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นมาเป็นตั้งๆ มาตุนไว้อ่านตอนช่วงปิดเทอม

จนทุกวันนี้ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว ม้วนวิดีโอไม่มีเหลือแล้ว สื่อกระดาษก็ลดความนิยมลง ทุกคนก้มหน้าดูโทรศัพท์บนฝ่ามือตัวเองตลอดเวลา หลายคนคิดว่าคอนเทนต์จะต้องหดสั้นลง ถูกตัดทอน ลดขนาด ด้วยความเชื่อว่าผู้คนทุกวันนี้มีสมาธิสั้นลง ระยะเวลาในการให้ความสนใจเรื่องหนึ่งๆ น้อยลงตามปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่ท้นทวีขึ้น และช่องทางที่เปิดกว้างให้พวกมันไหลบ่าเข้ามาท่วมตัวตลอดเวลา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั้นคือเราทุกคนก็ยังทำสิ่งเดิม เรียกว่า Binge-watching หรือการเสพเรื่องเล่าขนาดยาวแบบข้ามวันข้ามคืน

เทคโนโลยีเปลี่ยน สื่อเปลี่ยน วันวัยเปลี่ยน แต่นิสัยเดิมยังคงอยู่ เพราะสิ่งเดียวที่คงอยู่กับพวกเรามาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คือเรื่องเล่าตั้งแต่มนุษย์ยุคหินมารวมตัวกันในถ้ำ ก่อกองไฟเพื่อขับไล่ความหนาวเย็น และช่วยกันเฝ้ายามระวังภัยสัตว์ร้าย พวกเขาอยู่รวมกัน ล้อมวงเพื่อเล่าเรื่องราวสู่กันฟัง

หลายพันปีล่วงเลยมา พวกเราสมัครบริการวิดีโอสตรีมมิงแล้วเปิดซีรีส์ขนาดยาว ดูกันไปยาวๆ แบบมาราธอน ตอนนี้เรื่องที่กำลังฮิตกันแต่ผมยังไม่มีเวลาดูเลย ก็อย่างพวก Mindhunter และ Strange Things เพื่อนหลายคนโพสต์สเตตัสหรือทวีตสั้นๆ ว่ากำลังเริ่มดูซีรีส์เหล่านี้ แล้วพวกเขาก็จะหายไปจากไทม์ไลน์โซเชียลมีเดียหนึ่งวันหนึ่งคืน ก่อนที่จะกลับมาโพสต์อีกครั้งว่าดูจบแล้ว

ข้อมูลข่าวสารถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วไหลทิ้งไปตามกระแสไทม์ไลน์ แต่เรื่องเล่าสามารถรักษาขนาดความยาวของมันไว้ได้ เพราะมันมีรูปแบบที่จะต้องดำเนินเรื่องไป ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่น้อย ไม่มากไปกว่านี้ รูปแบบนี้ดำเนินไปซ้ำๆ ถูกผลิตซ้ำมาในทุกเรื่องเล่า เริ่มตั้งแต่ตำนานศาสนา การกำเนิดของชาติพันธุ์ ความเป็นหญิง ความเป็นชาย นิทานปรัมปรา เทพนิยาย นิทานพื้นบ้าน ไล่มาจนถึงบ้านทรายทอง มังกรหยก สตาร์วอร์ส แฮร์รี พอตเตอร์ ดิ อเวนเจอร์ ฯลฯ

พระเอกประสบปัญหา – ออกแสวงหาทางแก้ไข – ได้รับความช่วยเหลือ – พบเจอคนรัก – ฟันฝ่าอุปสรรค – ตกต่ำสุดขีด – แล้วในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนหยัดกลับมา และสามารถแก้ไขปัญหาตั้งแต่ตอนต้นเรื่องนั้นได้สำเร็จ

มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ประเสริฐหรือสัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล มนุษย์ยังเป็นสัตว์ที่มองหารูปแบบอีกด้วย เรามองหารูปแบบอะไรสักอย่างในอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา เช่น เวลาเรามองฟ้าแล้วเห็นเมฆเป็นใบหน้าคน เวลาเราท่องอาขยานแล้วเห็นจังหวะคล้องจอง เวลาเราฟังเพลงแล้วเห็นท่วงทำนองวนๆ

รูปแบบของเรื่องเล่าก็เช่นกัน เราเรียนรู้และทำความเข้าใจโลก ผู้คน สังคม รวมถึงชีวิตของตัวเอง ด้วยการมองหารูปแบบซ้ำๆ จากเรื่องเล่า ทีวีซีรีส์ นิยาย หนัง ฯลฯ ทุกอย่างที่เราเสพ มันมาพร้อมโครงเรื่องที่ซ้ำเดิม โดยรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร รายละเอียดดำเนินไปเพื่อตอกย้ำความคิดเดิมๆ และเราเรียกมันว่าคติสอนใจ

เรื่องเล่าดึงดูดใจเรามากกว่าข้อมูลข่าวสาร เพราะมันท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ดึงให้เราเอาใจช่วย เรามักจะอ้างอิงตัวเองไว้กับตัวละครเอกของเรื่องเล่า ความดีเอาชนะความเลว ความพยายามนำมาซึ่งความสำเร็จ ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลายในตอนจบ

ในหนึ่งเอพิโสดของ 24 มีความยาวหนึ่งชั่วโมง เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบเรียลไทม์หนึ่งชั่วโมงเท่ากัน พระเอกวิ่งพล่านไปทั่วเมืองเพื่อกอบกู้โลก และช่วยเหลือลูกสาวจากเงื้อมมือผู้ก่อการร้าย ในหนึ่งซีซันมีทั้งหมดยี่สิบสี่เอพิโสด ดังนั้น เรื่องราวในหนึ่งกล่องบอกซ์เซต หนึ่งซีซัน ก็ยาวนานเท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนในชีวิตจริงของเราพอดี

หนึ่งวันหนึ่งคืนที่เรานั่งดูเรื่องราวชีวิตของตัวละคร เรื่องเล่าดำเนินไปจากปัญหารุมเร้า จนต้องออกเดินทางแสวงหาหนทางแก้ไข ฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคมากมาย แล้วในที่สุดก็ข้ามผ่านความเลวร้ายต่างๆ ในชีวิต เป็นหนึ่งวันที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและการทำงานหนัก โดยที่เรานอนกลิ้งอยู่หน้าจอ ซดกินมาม่าไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลับไปทำงาน ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตเหมือนเดิมต่อไป

ไม่มีอะไรจะเอาชนะเรื่องเล่าได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สมาธิเราจะสั้นลงแค่ไหน แต่สุดท้ายชีวิตก็ต้องการได้รับการบำบัดเยียวยา และเรื่องเล่าคือสิ่งที่คืนพลังให้กับเรา