Editor’s Note 509 : The Last Look ภาพสุดท้าย

ถ้าฝนกำลังตกอยู่ข้างล่าง เราก็จะไม่รู้เรื่องเลยใช่ไหม? – แม่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินแล้วก็เอ่ยถาม… ใช่มั้ง – ผมตอบ

เรากำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน หลังจากการเดินทางสองวันหนึ่งคืนที่แสนทุลักทุเล เพื่อไปเยี่ยมป๊าที่กำลังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่างจังหวัด

ตั้งแต่แต่งงานอยู่กินกันมาห้าสิบกว่าปี นี่คงเป็นครั้งที่แม่กับป๊าต้องอยู่ห่างกันไกลที่สุดและนานที่สุด เท่าที่ผมจำความได้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เห็นพวกเขาตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา แม่มีหน้าที่หุงข้าวหุงปลาสามมื้อ ส่วนป๊าก็ช่วยทำงานบ้านและขับรถพาแม่ไปไหนมาไหน สองคนแก่อยู่ดูแลกัน เข้านอนและตื่นนอนพร้อมกันทุกวัน กินข้าวพร้อมกันทุกมื้อ จนกระทั่งจู่ๆ ฝ่ายหนึ่งก็เกิดล้มหมอนนอนเสื่อ และอีกฝ่ายก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว ลูกหลานจึงต้องพาแยกออกไปเพื่อการดูแลรักษาที่สะดวกและปลอดภัยกว่า

เสียงกัปตันประกาศว่าเรากำลังจะลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานดอนเมือง สัญญาณรัดเข็มขัดสว่างขึ้น พนักงานบนเครื่องวิ่งวุ่นไปมาจัดแจงข้าวของ แม่สงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายรอบตัว เหม่อมองฟ้ามองเมฆนอกหน้าต่างเนิ่นนาน

ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาก่อน – พระท่านสอนไว้แบบนี้ ผมจดจำขึ้นใจและคิดว่ามันจริงมากๆ

สิบกว่าปีก่อนตอนที่อาม่ายังอยู่ที่บ้านเรา ผมกำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน เข้าไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่เก็บซุกไว้ในห้องนอนของเขา อาม่าตื่นขึ้นมาพอดี แล้วถามว่า อาอ๋อง ลื้อจะไปไหน ลื้อจะไปกี่วัน ผมบอกว่า จะไปเที่ยวทะเลสองสามวันก็กลับ อาม่าบอกว่า เมื่อลื้อกลับมา ไม่แน่ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า

บางทีคนแก่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรให้เป็นลาง แต่เขาคงจะพอรู้ว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นข้างในร่างกายตัวเอง อาม่าเลือดออกซึมๆ ในสมองมาระยะหนึ่งแล้ว จนถึงจุดที่เขาชักกระตุก และกลายเป็นผักบนเตียง พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ไม่รับรู้อะไร นอกจากกะพริบตาและส่งเสียงอือๆ อาๆ เมื่อรู้สึกไม่สบายตัว อีกไม่นานต่อมาก็เริ่มมีแผลกดทับจากการนอนติดเตียง และจากเราไปด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด

อาม่าเตรียมชุดผ้าไหมจีนสีฟ้าวับวาวเหมือนชุดบัณฑิตจอหงวนในหนังจีนไว้ให้กับตัวเอง เตรียมรูปถ่ายใส่กรอบไม้ไว้ให้กับลูกหลานครบทุกบ้าน พวกอาแปะอาโกวมารับกรอบรูปนั้นไปวางบนหิ้งบูชา และบอกผมว่าอาม่าเดินทางไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว สำหรับผม วันที่เข้าไปหยิบกระเป๋าเดินทางในห้องนอนอาม่า นั่นคือการพบกันครั้งสุดท้าย และนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่อยู่ในใจ

แม่พูดย้ำอยู่เสมอว่า ถ้าป๊ากับแม่เป็นอะไรขึ้นมา ห้ามเจาะหรือเสียบสายอะไร ขอให้พวกเขาไปตามธรรมชาติ แต่ผมเองไม่มั่นใจเลยว่าจะทนดูได้หรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่ากว่าคนเราสักคนจะตายไปตามธรรมชาตินั้น จะต้องข้ามผ่านความเจ็บปวดทรมานสักเท่าไหร่

ทุกวันนี้ถ้าวันไหนผมกลับบ้านเร็วหน่อย ถึงบ้านสักประมาณสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่แม่เข้านอนพอดี จะได้ยินเสียงงึมงำดังออกมาจากห้องนอน ตอนแรกก็คิดว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อะไรกับใคร พอเปิดประตูเข้าไปทักทาย ก็เห็นเขากำลังนอนพนมมือสวดคาถาชินบัญชรอยู่

เขาหัดสวดชินบัญชรในปีที่ผมกำลังเตรียมสอบเอนทรานซ์ เพราะบนบานไว้ในใจขอให้ผมสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำได้ แลกกับการที่ตัวเองต้องหัดสวดคาถายากๆ ยาวๆ นี้ ระหว่างที่ผมกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบ เขาก็คร่ำเคร่งสวดไปด้วยพร้อมกัน

 

กินข้าวกินปลามาหรือยัง? – การสวดถูกขัดจังหวะ เขาลืมตาแล้วหันมาถาม

กินแล้ว – ผมตอบ แล้วก็ปิดประตูเบาๆ ให้เขาอยู่กับมนต์คาถาต่อไป

 

ในทุกค่ำคืนก่อนนอนหลับฝัน ก็ระลึกไว้เสมอว่าเราอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาเป็นตัวเราเหมือนเดิม แล้วเมื่อตื่นเช้ามามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกวัน แขนขายังขยับได้ มีเรี่ยวแรงทำงาน ก็ระลึกไว้ว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งแล้ว

แสงแดดสาดจ้าผ่านกระจกหน้าต่าง เครื่องบินค่อยๆ ลดระดับลงผ่านหมู่มวลเมฆสีเทา แล้วแสงแดดก็หุบลง ท้องฟ้ากลับกลายหมองหม่น ท้องถนนและบ้านเรือนเบื้องล่างเลือนลางจากม่านฝน ดูค่อยๆ ปรากฏเป็นเค้าโครงชัดขึ้นเรื่อยๆ

นี่อาจจะเป็นภาพท้องฟ้ากว้างไกลภาพสุดท้าย และนี่อาจจะเป็นการนั่งเครื่องบินครั้งสุดท้ายของแม่ คนเราเมื่อรู้ตัวว่าเหลือเวลาในชีวิตไม่มาก เราคงจะอยากทะนุถนอมวันเวลา และอยากจะบันทึกภาพสุดท้ายไว้ให้ดีที่สุด

 

พวกลูกๆ แขนขายังดีอยู่ ก็ไปเยี่ยมป๊าบ่อยๆ หน่อยนะ – แม่หันมาคุยด้วยแวบเดียว แล้วก็หันกลับไปมองนอกหน้าต่างต่อ

รู้แล้ว – ผมตอบ

เพราะแม่คงมาด้วยไม่ไหวแล้ว – แม่พึมพำเบาๆ

 

แค่การออกจากบ้าน นั่งลงบนเบาะแท็กซี่ ลุกขึ้นจากเบาะแท็กซี่ลงไปนั่งบนรถเข็นคนป่วยของสนามบิน แล้วลุกจากรถเข็นคนป่วยลงไปนั่งบนเก้าอี้เครื่องบิน แล้วตอนขาลงจากเครื่องก็ทำย้อนกระบวนการเดิมกลับไป เรื่องง่ายๆ เพียงแค่นี้ก็กลายเป็นเรื่องยากลำบากทุลักทุเลอย่างไม่น่าเชื่อ คนหนุ่มสาวไม่มีทางเข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายทรุดโทรมผุพังนั้น

หลังอาหารเช้าของโรงแรมเล็กๆ ในจังหวัดเล็กๆ ที่เรากินอยู่หลับนอนกันอย่างทุลักทุเลพอกัน พวกเราพี่น้องพาแม่ไปเยี่ยมป๊าที่โรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นเครื่องบินกลับ ตารางเวลาใกล้เข้ามา ผมนึกถึงเพลง Leaving on a Jet Plane ที่มีแท็กซี่บีบแตรเร่ง หนุ่มสาวคู่รักกำลังจะต้องพลัดพรากจากกันไกลแสนไกล นานแสนนาน

ไม่มีอะไรจะเศร้าโศกไปกว่าความรู้สึกโหยหาภายในใจ หนัง เพลง หนังสือ และศิลปะทั้งโลก ถูกสร้างขึ้นเพื่อขุดค้นความรู้สึกนี้ของมนุษย์

 

ฉันต้องกลับละนะ ไว้จะมาเยี่ยมอีกบ่อยๆ – แม่บอกป๊า

 

ผมคิดว่าพวกเขารู้ คนแก่ทุกคนจะรู้ตัวเองว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นข้างในร่างกาย พวกเขารู้ว่าเหลือเวลาในชีวิตไม่มาก และคงจะอยากทะนุถนอมวันเวลา อยากจะบันทึกภาพสุดท้ายไว้ให้ดีที่สุด

 

เธออยู่ทางนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ หายแล้วเราจะได้กลับบ้านพร้อมกัน – แม่บอกก่อนที่พวกเราพี่น้องจะเข็นเขาออกมา และพามาส่งขึ้นเครื่องบิน

 

สรรพสิ่งทรุดโทรมผุพัง ตราบนิรันดร์นั้นไม่มีอยู่จริง มีเพียงภาพสุดท้ายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในใจ