Editor’s Note 510 : Why We Work เพราะงาน ชีวิตจึงมีความหมาย

มักจะมีน้องๆ มาถามว่า ผมทำงานมานานแค่ไหน

พอตอบไปว่ายี่สิบกว่าปีแล้ว พวกเขามักจะทำหน้าประหลาดใจ ผมถามว่า เพราะพี่ดูหน้าเด็กมากเหรอ พวกเขาบอกเปล่า แค่คิดว่าพี่คงจะต้องรักในงานนี้มากแน่ๆ

รักในงานนี้งั้นเหรอ? ผมนึกในใจ

หลายปีก่อนผมเคยจัดรายการพอดคาสต์ร่วมกับเพื่อน มีรายการตอนหนึ่งเนื่องในโอกาสวันแม่ ผมสัมภาษณ์ป๊าและแม่ตัวเอง เพราะถือว่าทุกคนล้วนมีเรื่องเล่าของตัวเอง และอยากบันทึกเสียงสัมภาษณ์พวกเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เราคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต มีอยู่ช่วงหนึ่งเราถามพวกเขาเรื่องการงานอาชีพ ว่า ทำไมเขาถึงได้มาทำงานค้าส่งเส้นก๋วยเตี๋ยว พวกเขาบอกว่า มันเป็นอาชีพที่สืบทอดต่อมาในครอบครัวของเราจากคนรุ่นอากงอาม่า เราถามเขาว่า ทำงานนี้มานานกี่ปี เขากรอกตาไปมาคำนวณในใจ ตั้งแต่อายุยี่สิบจนถึงห้าสิบกว่าๆ รวมแล้วก็เกือบสี่สิบปี

ผมเกิดและเติบโตมา ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพวกเขาทำงานนี้มาตลอด และไม่คิดว่ามันเป็นงานที่น่าสนุกหรือมีความท้าทายอะไร

พวกเขาตื่นตีสี่ครึ่ง เข้านอนเที่ยงคืน ระหว่างวันทำงานจัดส่งเส้นก๋วยเตี๋ยวให้กับร้านอาหารละแวกบ้าน ทำงานกันแบบไม่เคยมีวันหยุดพักผ่อน เพราะถ้าหยุด ร้านอาหารเหล่านี้ก็จะหันไปซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวจากร้านอื่นทันที

ผมสงสัยว่า พวกเขารักในงานนี้งั้นเหรอ? เราถามเขาว่า ได้อะไรจากการทำงานนี้มาอย่างยาวนาน

แม่บอกว่า งานนี้น่าเบื่อหน่ายและยากลำบาก พวกเขาเหนื่อยสายตัวแทบขาด จนมาถึงตอนนี้ แค่คิดย้อนกลับไปก็ยังรู้สึกกลัว ไม่รู้ว่าครอบครัวเราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร

ป๊าบอกว่า อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวันที่กำลังออกไปตะลอนส่งก๋วยเตี๋ยวอยู่แล้วนึกถึงลูกๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนชั้นนำ เขาก็มีความสุขใจ

แม่ฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจใหญ่

ผมได้เรียนรู้จากวันนั้นว่า สิ่งที่ผลักดันให้คนทำงานไม่ใช่แค่เรื่องความรักในงาน

ความคิดเกี่ยวกับงานเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในสังคมสมัยเก่า เราเลือกงานตามบรรพบุรุษที่สืบทอดต่อกันมา พอมาในยุคสมัยใหม่ หลังจากที่โลกนี้มีระบบอุตสาหกรรมและทุนนิยมเสรี และมันได้สร้างงานเพิ่มขึ้นมา เราเลือกงานตามตัวเลขรายได้และความร่ำรวย

ดังนั้น ทั้งชีวิตของคนรุ่นเดียวกับผม หลังจากที่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนสูงขึ้น เราพยายามถีบตัวเองให้ขึ้นไปสูงขึ้น หลีกหนีจากงานของที่บ้าน เพราะมองว่าเหน็ดเหนื่อย สกปรกเลอะเทอะ ต๊อกต๋อย ไปทำงานในองค์กรธุรกิจชั้นนำ ดูดีมีหน้ามีตา มีเงินเดือนจับจ่ายใช้สอย

การทำงานนี้มานานยี่สิบกว่าปี ทำให้ผมได้หัดเขียนหนังสืออย่างคมคาย ได้มีโอกาสพบเจอกับคนดังมากมาย ขึ้นบนเวทีทอล์กมีไฟสาดส่อง ได้ออกทีวี บางครั้งก็มีสื่อชั้นนำมาขอสัมภาษณ์เรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจ

ถามว่ารักในงานนี้งั้นเหรอ? ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร

ดูเหมือนว่าความรักในงานจะกลายเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับยุคปัจจุบัน เท่าที่จำได้ ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครพูดถึงคำว่าแพสชัน ความฝัน ความเป็นตัวเอง หรืออะไรทำนองนั้น

การตั้งคำถามกับอาชีพการงาน เป็นปฏิกิริยาของคนรุ่นนี้ที่ีมีต่อคนรุ่นก่อนหน้า พวกเขาไม่เชื่อในระบบเศรษฐกิจแบบสะสมและแลกเปลี่ยน พวกเขาไม่ต้องการทำงานที่ไร้ความหมายต่อตัวเอง เพียงเพื่อจะได้สะสมเงินทอง แล้วนำไปแลกเปลี่ยนเอาความหมายมาใส่ตัวเอง พวกเขาต้องการให้งานที่ทำนั้นมีความหมาย

หนังสือฮาวทู ไลฟ์โค้ช หรือนักคิดนักเขียนต่างๆ พยายามสอนเรื่องความรักในงาน ตามหาแพสชัน เดินทางตามความฝัน เมื่อคุณเลือกงานที่ตรงกับตัวเองได้ แล้วคุณจะได้มีความสุขความสำเร็จตลอดไป

แต่ทางเลือกนั้นบางทีเป็นเรื่องของคนเพียงแค่บางกลุ่มเท่านั้น ยังมีคนอีกกลุ่มไม่มีทางเลือกอื่นใด ไม่มีการศึกษา ฐานะยากจน ขาดโอกาสทางสังคม คุณได้ทำงานที่ไม่ได้ดูสวยหรูเด่นดัง หรือร่ำรวยอะไร

ถามว่ารักในงานนี้งั้นเหรอ? พวกเขาก็จะตอบไม่ได้เช่นกัน

แต่ละยุคสมัยเป็นปฏิกิริยาต่อยุคสมัยที่อยู่ก่อนหน้ามัน เรามีความคิดต่อเรื่องงาน ด้วยการทะเยอทะยานออกไปให้ไกลกว่าคนรุ่นก่อนหน้า คนรุ่นผมหนีไปหาความร่ำรวยหรูหรากว่าคนรุ่นพ่อแม่ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่หนีออกไปหาความหมายของชีวิตที่ดีกว่าคนรุ่นผม

ถึงที่สุดแล้ว เหตุผลในการทำงานของเราคืออะไรกันแน่?

ผมคิดว่าไมใช่เรื่องความรักในงาน แต่มันเป็นเรื่องความหมายที่งานนั้นให้เราต่างหาก

การงานที่แท้จริงคือการงานที่ทำแล้วให้ความหมายกับชีวิตเรา เกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร และฉันคือใคร ดำรงอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดในโลกใบนี้

งานที่ดูเหมือนว่าไม่มีความหมายกลับกลายเป็นมีความหมายขึ้นมา ด้วยการที่ผู้ทำงานให้ความหมายกับมัน เหมือนกับคนรุ่นพ่อแม่สละความต้องการของตัวเอง ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทำสิ่งนั้นแทน

นี่คือเหตุผลว่าพ่อแม่ถึงได้รักลูก เพราะเราคือผลพวงจากแรงงานของเขา

ดังนั้น เราอาจจะไม่จำเป็นจะต้องค้นหาคำตอบทั้งหมดของตัวเองให้เจอ เพื่อจะได้เจองานที่ดี

เพราะการทำงานไป มีงานก็ทำงาน ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งซึ่งเราสามารถค้นหาความหมายของชีวิตจากงานนั้นได้ด้วยเช่นกัน