Editor’s Note 514 : #หงายการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เวลาเห็นใครกำลังถูกรุมด่าในโซเชียลมีเดีย ผมมักจะรู้สึกสงสาร ไม่ว่าเขาจะโง่งมหรือต่ำช้าแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะมีความเห็นหรือจุดยืนแตกต่างอย่างไร แทนที่จะเข้าไปร่วมรุมกระทำซ้ำเติม หรือยืนดูแล้วหัวเราะด้วยความสะใจ ผมกลับรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ นึกภาพภายในใจว่าถ้าต้องไปตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับเขา แล้วเราจะเป็นอย่างไร

วันก่อนระหว่างกำลังรถติดๆ กันอยู่ ผมนั่งคุยกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ในฐานะที่เขาเป็นคนโด่งดังและกำลังมีผลงานใหม่ออกนำเสนอ คาดว่าคงจะต้องมายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ และคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนในโซเชียลมีเดีย เขาเล่าว่ามีนักข่าวไปสัมภาษณ์ ถามว่าเขาคิดอย่างไรกับชาวโซเชียลฯ ในทุกวันนี้

ผมพูดบ่นให้เขาฟัง อย่างที่ชอบเขียนถึงประเด็นนี้อยู่บ่อยๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่าชาวโซเชียลฯ นั้นดูมีคุณภาพตกต่ำลงจนน่าเป็นห่วง เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่คิดว่าโซเชียลมีเดียไม่ใช่พื้นที่ที่เราจะมานั่งพูดคุยอะไรกัน เราไม่สามารถสื่อสารกันดีๆ ยิ่งไม่ใช่ที่ที่จะมาถกเถียงประเด็นอะไรที่จริงจัง เรื่องการเมืองและศาสนานั้นลืมไปได้เลย แค่ข่าวบันเทิงหรือข่าวมโนสาเร่ที่เราเสพกันตามปกติ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่ทุกคนจะต้องมารุมด่าหรือรุมถล่มใครสักคนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

บางวันผมเปิดดูเฟซบุ๊กตอนเช้าๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมา โอ้โฮ นี่เราต้องโกรธอะไรกันขนาดนี้เลยเหรอ บางทีมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการยืนพิงเสารถไฟฟ้า แซงคิวซื้อกาแฟ หรือสะกดคำว่า คะ ค่ะ ผิดไป โซเชียลมีเดียเป็นที่ที่เราใช้งานถือสาหาความกันแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใครพูดอะไรผิด ทำอะไรพลาดนั้นเป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้เลย มันจะโดนถล่มให้จมดิน

ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ กลายเป็นคำสามัญธรรมดาที่เราสาดใส่เหยื่อ นอกเหนือขึ้นไปจากนั้นก็เป็นการแช่งชักหักกระดูกแบบไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดอีก

เมื่อกดเข้าไปดูโปรไฟล์ของคนที่ทิ้งคอมเมนต์หยาบคายเหล่านี้เอาไว้ ก็เห็นเขาอุ้มลูกจูงหลานน่ารัก ชีวิตดีมีความสุข มีหน้าที่การงานดี ดูเป็นปกติธรรมดาเหมือนเราๆ แต่เมื่ออยู่ในโลกแห่งนี้ ทุกคนต้องแสดงความโกรธอะไรสักอย่างตลอดเวลา คนโกรธ หงุดหงิด ฉุนเฉียวคือคนจริงใจ ใช้ความโกรธเป็นค่าดีฟอลต์ของตัวเอง มีความเชื่อว่าพวกที่ชอบเสียดสีเหน็บแนมเป็นคนเก่ง ฉลาด ไอคิวสูง ในขณะที่คนอ่อนโยนมีเมตตาเป็นพวกโลกสวย

ในฐานะของคนทำงานสื่อที่ต้องเสนอคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียทุกวันๆ เห็นการกระทำรุนแรงต่อกันแบบนี้รายวัน ก็ทำให้นึกหวาดเสียว เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันซวยของเรา พานให้นึกไม่อยากเข้าไปร่วมวง และไม่อยากโหนกระแสทำคอนเทนต์อะไรที่ไปซ้ำเติม เพราะเมื่อถึงวันที่เราทำอะไรผิด วันที่เราเสนออะไรพลาด วันนั้นก็จะกลายเป็นวันที่เราไปตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับเหยื่อเหล่านั้น

อย่างที่เพื่อนผมว่าไว้ โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นที่เอาไว้พูดคุยถกเถียง เมื่อถกเถียงกันไป เราจะไม่สามารถหา consensus ใดๆ ได้เลย เพราะทุกคนต่างก็มีกองเชียร์ของตัวเอง ทุกคนขึ้นเวทีและเล่นใหญ่ไปมากแล้ว ดังนั้น แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องเล่นใหญ่ไปตลอด หาทางโกรธ เกลียด ตำหนิติเตียนได้ตลอด ทุกคนเหมือนยืนอยู่บนเวที แสงไฟสาดส่อง มีบทบาทให้เล่นใหญ่ๆ แสดงออกเยอะๆ เพื่อขับเน้นตัวตนให้เด่นชัด

ในโลกแบบนี้ มันเหมาะที่เราจะเอาไว้เป็นที่สร้างฐานแฟนคลับ ผู้ติดตาม วงเพื่อน ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยฉันทาคติเอนเอียงมาทางด้านตัวเรา ไม่ว่าเราทำอะไรก็จะถูกและดีไปเสียหมด เมื่อขึ้นไปอยู่บนเวทีใหญ่ขนาดนั้น เดอะโชว์มัสต์โกออน เสียหน้าไม่ได้ ยอมรับความเห็นแตกต่างไม่ได้ เพราะจะเสียฐานแฟนคลับที่เฝ้าเชียร์ ไม่แปลกที่เราทนฟังความเห็นต่างไม่ได้

มันง่ายมากที่เราจะสร้างตัวตนขึ้นมาจากการปฏิเสธ ตื่นขึ้นมาก็ด่าโน่นด่านี่ ตำหนิติเตียนโลกรอบตัว การปฏิเสธเป็นหนทางที่ทำให้ตัวเราเด่นชัด เรารู้เสมอว่าเราไม่ชอบอะไร และโลกนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่ชอบ มันง่ายมากที่เราจะมีตัวตนขึ้นมา มีเพื่อนฝูงยอมรับ ด้วยการแคปหน้าจอคนโง่หรือคนเลวสักคนมาโพสต์ประจาน

ราวกับทุกคนมีต้นมะขามของตัวเอง ไว้ใช้ลากใครมาแขวนคอแล้วเอาเก้าอี้ฟาด โชว์ให้เพื่อนๆ ที่มายืนล้อมวงดู แล้วหัวเราะรื่นเริง เราร่วมกันสร้างนรกแห่งนี้ขึ้นมาบนพื้นที่ว่างเปล่าที่เปิดกว้างเสรี

เกิดจากเทคโนโลยีที่มีความเป็นกลาง ไร้เจตนาในตัวมันเอง จนเมื่อพวกเราเข้ามาใช้งานร่วมกัน มันก็เกิดเจตนารวมหมู่ของพวกเราขึ้นมา กลายเป็นนรกที่เราเวียนว่ายอยู่ในทะเลเพลิงแห่งอารมณ์ของกันและกัน

คนเราล้วนเน่าหนอน ชีวิตแต่ละวันๆ เราต่างก็กำลังพยายามวิวัฒน์ดิ้นรนขึ้นจากความต่ำตม ไปหาสิ่งดีขึ้น สูงส่งขึ้น ถึงแม้โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะพยายามเอาด้านดีๆ หันเข้าหากัน แต่ก็ต้องมีบางส่วนที่เกิดความผิดพลาด โง่งม เลวทราม ปรากฏออกไปบ้าง และเราก็ทำได้ดีที่สุดแค่การขอโทษ

มันจะอะไรกันนักกันหนากับความผิดพลาด เราไม่ใช่นรกของกันและกัน อย่าไปตัดสินคนอื่น ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เราทุกคนล้วนต้องมี เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นสังคมใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เราเรียนรู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรแบ่งปันให้กันและกันคืออภัยและเมตตา

พอเติบโตขึ้น เราจะยิ่งอภัยง่ายขึ้น โอนอ่อน ผ่อนปรน และผสานสอดคล้องกับสิ่งรอบตัว ตัวตนของเราจะเกิดขึ้นจากการแสดงความรัก หลอมรวมกับสิ่งอื่น ไม่ใช่การตัดทอน ปิดกั้น หรือปฏิเสธ

ในโลกแห่งความจริงนั้นขาดแคลนความรักความเมตตาอยู่แล้ว อย่าให้สิ่งนี้สูญสิ้นไปในโซเชียลมีเดีย