อคติ

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | อคติในใจของเราทุกคน

หลังจากที่เพิ่งออกรถคันใหม่มาเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมก็มีกิจวัตรประจำวันในโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือการเข้า Closed Group เพจเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถยนต์รุ่นนี้

     ตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ผมสมัครขอเข้ากลุ่มไปเพื่อตามอ่านข้อมูลและความคิดเห็นของผู้ใช้อยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็พยายามหาข้อมูลจากหลายแหล่งมาประกอบการ มันมีข้อดีและข้อเสียที่ถูกพูดถึงอยู่หลายประเด็น เมื่อเทียบกับรถตลาดเดียวกันของยี่ห้ออื่น ก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่มีทางเลือกไหนดีที่สุด หรือเสียที่สุด ในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อมันมาด้วยเงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานเขียนมาหลายปี

     หลังการตัดสินใจ ทางเลือกอื่นๆ ก็ปิดลง แล้วเราก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับผลของการเลือกนั้น ชีวิตคนเราก็แค่นี้จริงๆ ในทุกลมหายใจ เราต้องตัดสินใจเลือกอะไรสักอย่าง แล้วก็อยู่กับผลของมันไปในลมหายใจถัดๆ ไป
 
     ไม่ใช่แค่การซื้อรถ ยังรวมถึงโทรศัพท์เครื่องใหม่ รองเท้าวิ่งคู่ใหม่ แม้กระทั่งเลือกร้านข้าวเที่ยงวันนี้จะกินอะไรดี และไม่ใช่แค่เพียงการจับจ่ายช้อปปิ้ง แต่ยังรวมถึงทุกมิติในชีวิต เราเลือกเพื่อนที่คบ เลือกคณะที่เรียน เลือกงานที่สมัคร เลือกความรัก เลือกอุดมการณ์ เลือกฟากฝั่งการเมือง เลือกที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แม้กระทั่งเลือกที่จะโพสต์อะไรในโซเชียลมีเดีย

     สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ทุกทางเลือกล้วนมีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ จิตใจของเราทำงานอย่างไรหลังการตัดสินใจเลือกสิ้่นสุดไปแล้ว
 
     คุณเคยเป็นไหม? ที่เวลาซื้อของอะไรมาแล้ว โดยเฉพาะของราคาแพง หรือของที่เราต้องใช้ความพยายามเสาะหา ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันมากๆ เรามักมีแนวโน้มที่จะคิดวนเวียนเพื่อตอกย้ำว่ามันดี มันเหมาะ เหมือนอย่างเช่นเวลาไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่มา หลังจากการหาข้อมูลมานาน ต่อรองราคาหลายร้าน ลองสวมลองไซซ์หลายสีหลายคู่ ก่อนที่จะจ่ายเงินแล้วแพ็กใส่กล่องอย่างดี พอกลับมาลองใส่ที่บ้าน แล้วเริ่มรู้สึกว่ามันเล็กไปครึ่งไซซ์ แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่าทนใส่ๆ ไปสักพักแล้วมันก็จะยืดเอง

     ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันอาจจะยืดจริงๆ ก็ได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จของการตัดสินใจ แต่ถ้ามันไม่ยืด คุณจะใส่ไปได้อีกสักสองสามวันจนส้นเท้าเป็นแผลพุพอง เจ็บจนทนไม่ไหวอีกต่อไป คุณจะตัดใจเก็บมันกลับใส่กล่อง แล้วเอาไปไว้ในห้องเก็บของ ยัดเข้าไปซุกไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุด เพื่อที่ความล้มเหลวในการตัดสินใจนี้จะไม่มาปรากฏให้คุณสะเทือนใจอีก

     จิตใจคนเราทำงานแบบนี้ มันไม่ได้ใช้หลักเหตุและผล ไม่ได้ยึดถือข้อเท็จจริง แต่มันปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกของอคติ โอนเอียงไปทางบวก แสร้งหลงลืมเรื่องทางลบ กอดรัดอยู่กับตัวตนที่ต้องการยืนหยัดดำรงอยู่ ไม่ยอมรับความผิดพลาดแม้ข้อเท็จจริงจะเจ็บปวด ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงจากจุดเดิม เพราะมันสร้างเหตุผลขึ้นมาปกปิดอำพรางตัวเองไว้
 
     ช่วงงานมอเตอร์โชว์เมื่อปลายปีที่แล้ว มีข่าวเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการผลิตรถยนต์รุ่นนี้เผยแพร่ออกมาตามสื่อต่างๆ มีการนำเข้าไปพูดกันใน Closed Group ผู้ใช้ที่มีความแอ็กทีฟในกลุ่มส่วนใหญ่ออกมายืนยันว่ารถของพวกเขาไม่มีปัญหา และมีบางส่วนออกมาแสดงความเห็นแนวปกป้องบริษัทรถยนต์

     ผมนึกไปถึงแบรนด์ธุรกิจต่างๆ ที่มีกลุ่มลูกค้าที่มีความจงรักภักดีมากๆ จนถึงขนาดเรียกว่าเป็นสาวก ทุกครั้งที่มีการข่าวด้านลบออกมา หรือถ้ามีการนำสินค้าไปรีวิวเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นๆ โดยบล็อกเกอร์หรือตามเว็บบอร์ดต่างๆ กลุ่มลูกค้าของเขาก็ออกมาแสดงความคิดเห็นปกป้อง ช่วยเถียงแทน ยืนหยัดต่อสู้ราวกับตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทแบบนี้เช่นกัน

     เราผูกมัดตัวเองเข้ากับการตัดสินใจของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ่งเมื่อมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปิดให้เราแสดงความคิดเห็น แสดงตัวตนออกไป อย่างโซเชียลมีเดีย ก็ยิ่งทำให้เราผูกมัดตัวเองแน่นขึ้น แน่นขึ้น

     นี่ขนาดเป็นแค่วัตถุที่เราครอบครอง เป็นสินค้าที่เราจ่ายเงินซื้อมา เป็นสิ่งของภายนอกตัว ที่เราเห็นอยู่ว่ามันผุพังเสื่อมสลายไปได้ตามกาลเวลา เรายังมีอคติยึดติดขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ หรืออะไรที่มีความซับซ้อนมากกว่านั้น อย่างเรื่องการเมืองหรือศาสนา ที่ราวกับเป็นความดี ความงาม ความจริง ความดี ความงาม ที่ยืนหยัดเป็นสากลข้ามยุคสมัย เราจะสอบทานจิตใจของเราได้อย่างไร
 
     ทุกๆ วัน ผมเปิดเข้าไปในโซเชียลมีเดีย สไลด์หน้าจอลงมาเรื่อยๆ เห็นคนโพสต์รูปถ่ายตัวเองยืนคู่กับรถ เพื่อนอีกคนถ่ายรูปรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ เพื่อนอีกคนยืนยันว่าโทรศัพท์มือถือของตัวเองใช้งานสะดวกที่สุด เพื่อนอีกคนเอาผลงานของตัวเองมาอวดว่าประสบความสำเร็จ เพื่อนอีกคนถ่ายรูปอาหารแล้วบอกว่าอร่อยที่สุด และเพื่อนอีกคนบ่นด่าการเมืองฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ

     สไลด์ลงมาเรื่อยๆ รูปแบบของมันวนลูปไปเรื่อยๆ และผมมองว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน