จอร์แดน

ไมเคิล + ไนกี้ = จอร์แดน ดีเอ็นเอความเป็นผู้นำของ จอร์แดน ที่ร้อยปีจะมีสักครั้ง

‘การขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดนั้นว่ายากแล้ว แต่การรักษาตำแหน่งให้อยู่บนจุดสูงสุดนั้นยากยิ่งกว่า’ วลีนี้เป็นวลีที่พูดกันอย่างกว้างขวางไม่ใช่แค่ในวงการกีฬาเท่านั้น แต่กับทุกแง่มุมของชีวิต การอยู่บนจุดสูงสุดเป็นเวลานานนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน ความคาดหวัง และเหล่าผู้ท้าชิงที่จ้องจะโค่นล้ม แต่ทำไมกับชื่อ ‘Jordan’ การอยู่บนจุดสูงสุดเป็นเวลานานที่ว่ายาก มันดูง่ายเหลือเกิน

          ปัจจุบัน นักกีฬามีสถานะไม่แตกต่างจากดารา ในยุคนี้ถ้าพูดถึงนักบาสเกตบอล ใครหลายๆ ก็คงยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าใครคือนักบาสเกตบอลที่เก่งที่สุด ถ้าพูดถึงผู้เล่นที่ยังเล่นอยู่ก็คงหนีไม่พ้น เลบรอน เจมส์ ผู้เล่นปีศาจที่เล่นได้ทุกตำแหน่งของทีม L.A. Lakers ที่เพิ่งได้แชมป์ NBA มาหมาดๆ หรือ สตีเฟน เคอร์รี พอยต์การ์ดจอมยิง 3 แต้ม จากทีม Golden State Warriors ผู้ที่เปลี่ยนแนวทางการทำคะแนนของวงการบาสเกตบอลให้หันมายิงระยะไกลมากขึ้น 

        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นร่มเงาของผู้เล่นที่เก่งที่สุดตลอดกาลที่ชื่อว่า ไมเคิล จอร์แดน ที่เลิกเล่นไปกว่า 20 ปีแล้ว 

        เพราะอะไรกัน ชื่อของจอร์แดนถึงยังคงถูกพูดถึงอยู่ทั้งในและนอกคอร์ต เพราะชื่อ Jordan เป็นมากกว่านามสกุลนักกีฬาในตำนาน เป็นมากกว่าแบรนด์รองเท้าของไนกี้ หากแต่เป็นวัฒนธรรมของ ‘ผู้นำ’ ที่ได้ฝังรากเข้าไปในจิตใจของผู้คนทั้งโลก

 

‘Michael’

        ไมเคิล เจฟฟรีย์ จอร์แดน เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1963 ที่บรูคลิน นิวยอร์ก แต่ได้ย้ายมาอยู่กับครอบครัวที่วิลมิงตัน นอร์ทแคโรไลนา โดยมีคุณพ่อ เจมส์ จอร์แดน ซีเนียร์ และคุณแม่เดโลริส และพี่น้อง เขาเป็นลูกคนที่ 4 จากพี่น้อง 5 คน ครอบครัวจอร์แดนเป็นครอบครัวที่มีฐานะในระดับชนชั้นกลาง ไม่ได้ลำบากแร้นแค้น แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีที่สุดเช่นกัน

        ความสามารถทางกีฬาของไมเคิลมีความเด่นชัดตั้งแต่เด็ก เขาสามารถเล่นกีฬามากมาย เช่น บาสเกตบอล เบสบอล และอเมริกันฟุตบอล แต่ไมเคิลตัดสินใจทุ่มพลังกายและใจให้กับกีฬาบาสเกตบอลเนื่องจากว่าเขาโดนตัดชื่อออกจากทีมบาสเกตบอลประจำโรงเรียนเพียงเพราะว่าเขาเตี้ยเกินไป 

        ความสูงของไมเคิลในตอนนั้นคือ 180 เซนติเมตร ไมเคิลจึงต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าถึงแม้เขาจะถูกบอกว่าตัวเตี้ยเกินไป เขาก็มีความสามารถไม่แพ้ใคร เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาเก่งที่สุดในโรงเรียน

        อย่างไรก็ตาม ไมเคิลก็ติดทีมโรงเรียนในระดับจูเนียร์ (มัธยมต้น) ซึ่งเขาก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าฝีมือของเขาคือของจริง ในหลายๆ เกม ไมเคิลทำคะแนนได้มากกว่า 40 แต้ม ทักษะและร่างกายของเขาเหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกันอยู่หลายขุม 

 

จอร์แดน

 

        หน้าร้อนปีถัดมา ร่างกายของไมเคิลโตขึ้นจนมีความสูงเกิน 190 เซนติเมตร บวกกับการฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งทำให้เขามีชื่อติดทีมตัวแทนโรงเรียน  ไมเคิลพิสูจน์คุณค่าของตัวเองในทันทีด้วยการทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมมากกว่า 25 แต้ม และถูกทาบทามจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องบาสเกตบอลมากมายอย่าง ดูค, นอร์ทแคโรไลนา และเซาท์แคโรไลนา จนสุดท้ายไมเคิลก็ตัดสินใจเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา

        แค่ปีแรกในมหาวิทยาลัย ไมเคิลทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมที่ 13.4 แต้ม และมีเปอร์เซ็นต์การทำแต้มอยู่ที่ 53.4% ซึ่งสูงมากเทียบกับผู้เล่นระดับ NBA ได้เลย และได้รับโหวตให้เป็นผู้เล่นปีหนึ่งยอดเยี่ยมประจำปีของ Atlantic Coast Conference อีกด้วย 

        เส้นทางสู่อาชีพนักบาสเกตบอลมืออาชีพของไมเคิลสดใสขึ้นเรื่อยๆ เขายิงลูกจัมป์ช็อตปิดเกมในตำนาน คว้าแชมป์ NCAA ปี 1982 เอาชนะมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ซึ่งนำโดย แพทริก อีวิง ที่กลายมาเป็นอีกหนึ่งเซ็นเตอร์ระดับตำนานของ NBA เช่นกัน 

        ไมเคิลปิดฉากการเล่นบาสเกตบอลในรั้วมหาวิทยาลัยเพราะว่าเขาถูกเรียกตัวจากทีมชิคาโก บูลส์ ในปี 1984 ก่อนที่จะจบการศึกษา โดยถูกจัดเป็นอันดับที่ 3 รองจาก ฮาคีม โอลาจูวอน และ แซม โบวี สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือถึงแม้ว่าตัวไมเคิลจะมีอนาคตที่สดใสในวงการกีฬาแต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน เพราะว่าเขากลับมาเรียนต่อจนจบการศึกษาในสาขาภูมิศาสตร์ในปี 1986

        ไมเคิล จอร์แดนเป็นผู้เล่นคนสำคัญของชิคาโก บูลส์ มาตลอด เขาคว้าแชมป์ NBA ไปทั้งหมด 6 ครั้ง แถมคว้าตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ในนัดชิงที่ได้แชมป์ทั้งหมด เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าฤดูกาลปกติ 5 ครั้ง ติดทีม NBA All-Star 14 ครั้ง เป็นส่วนหนึ่งของทีมบาสเกตบอลทีมชาติสหรัฐฯ ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2 ปีติด หรือ ‘ดรีมทีม’ และได้ถูกบรรจุว่าเป็นหนึ่งใน 50 ผู้เล่นยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของ NBA ยังไม่รวมรางวัลอื่นๆ ซึ่งถ้าให้บอกหมดก็คงไม่ไหว โดย ไมเคิล จอร์แดน รีไทร์จากอาชีพนักบาสเกตบอลอาชีพเมื่อปี 2003 ทิ้งไว้แต่ตำนานที่จะเป็นจุดมุ่งหมายให้นักบาสรุ่นหลังได้แต่วิ่งตามเท่านั้น

‘NIKE’ 

        ในปีที่ ไมเคิล จอร์แดน ถูกเรียกตัวเข้ามา มีแบรนด์รองเท้า 3 แบรนด์ที่ได้เข้าเจรจากับเขาเพื่อเป็นสปอนเซอร์ให้ ก็คืออาดิดาส คอนเวิร์ส และไนกี้ ซึ่งอาดิดาสและคอนเวิร์สเป็นแบรนด์ที่เป็นตัวเต็ง เพราะว่าเป็นแบรนด์ระดับท็อปของกีฬาบาสเกตบอลในตอนนั้น ส่วนไนกี้ยังเป็นแค่แบรนด์เล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีนักกีฬาดังในสังกัดเท่าไหร่

        แบรนด์ที่ไมเคิลต้องการเซ็นสัญญาที่สุดก็คืออาดิดาส 

        เขาแสดงความภักดีต่ออาดิดาสโดยใส่รองเท้าของอาดิดาสซ้อมมาตลอด ไมเคิลไม่อยากคุยกับแบรนด์ไหนเลยนอกจากอาดิดาสเท่านั้น ตอนเล่นในระดับมหาวิทยาลัยเขาเคยถูกถามว่าอยากจะเซ็นสัญญากับบริษัทไหน เขาตอบว่า ‘อาดิดาสครับ ผมชอบเลเกอร์ส ผมชอบ มาร์คัส จอห์นสัน ผมชอบอาดิดาส ผมชอบรองเท้าอาดิดาส’ แต่อาดิดาสก็ยังนิ่งเงียบ

        ตัวเต็งต่อจากอาดิดาสก็คือคอนเวิร์ส ในยุคนั้นนักบาสเกตบอลอาชีพนิยมใส่รองเท้าคอนเวิร์สเป็นอย่างมาก อีกทั้งตัวไมเคิลเองก็ใส่รองเท้าคอนเวิร์สในการแข่งขันมาตั้งแต่ในระดับมหาวิทยาลัย เพราะว่าโค้ชของมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาเซ็นสัญญากับทางคอนเวิร์สไว้ว่าจะให้ลูกทีมของเขาใส่รองเท้าคอนเวิร์สในการแข่งขัน 

        ข้อเสนอของคอนเวิร์สดูดีทีเดียว ไมเคิลจะได้รับสัญญาระดับเดียวกับสตาร์ดังใน NBA หลายๆ คนอย่าง แลร์รี เบิร์ด และ แมจิก จอห์นสัน ที่ได้รับเงินราวๆ 100,000 ดอลลาร์ฯ ต่อปี 

        ‘แล้วพวกคุณไม่มีไอเดียอะไรใหม่ๆ บ้างเลยหรือ?’  เจมส์ จอร์แดน ผู้เป็นพ่อแทรกขึ้นมาในห้องประชุม แล้วทุกอย่างก็เงียบกริบไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ในช่วงเวลานั้นเอง ไมเคิลก็ได้ตัดสินใจว่าคอนเวิร์สคงไม่เหมาะที่จะมาเป็นสปอนเซอร์รองเท้าให้กับเขา เพราะว่าคอนเวิร์สไม่ได้แสดงท่าทีว่าอยากได้ตัวเขามากพอ

        สุดท้ายก็คือไนกี้ ซึ่ง ณ ขณะนั้น ไนกี้คือแบรนด์รองเท้าหน้าใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของบริษัท ในอดีต ปี 1973 ไนกี้มีรายได้ 28.7 ล้านดอลลาร์ฯ และขึ้นมาสูงถึง 876 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 1983 แต่ว่าในปี 1984 ไตรมาสนั้นไนกี้กำลังขาดทุน ซึ่งการขาดทุนครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทอีกด้วย ไนกี้จึงต้องการเซ็นสัญญากับ ไมเคิล จอร์แดน มากๆ เพื่อกอบกู้บริษัท

        เวลานั้นไนกี้เป็นสปอนเซอร์ให้กับนักบาสเกตบอลอาชีพเพียงคนเดียวก็คือ โมเสส มาโลน ผู้เล่นเกมรับตัวเก่งของฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์สเพียงเท่านั้น ทำให้ไนกี้ไม่มีสตาร์ดังที่จะมาส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์เลย บวกกับที่ตัวเองขาดทุนอยู่ด้วย ไนกี้จึงต้องเดินเกมอย่างชาญฉลาด ไนกี้มองไปที่ผู้เล่นหน้าใหม่ในการดราฟต์ประจำปี และพวกเขามองว่าไมเคิลจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์คนต่อไปแน่ๆ ไนกี้จึงทุ่มหมดหน้าตักในการเซ็นสัญญาครั้งนี้ ติดปัญหาที่อย่างเดียวก็คือ ไมเคิลไม่ยอมฟังข้อเสนอของไนกี้ด้วยซ้ำ 

        ในใจของไมเคิลมียังคงมีแค่อาดิดาส ถึงขนาดบอกกับ เดวิด ฟอล์ก ผู้จัดการส่วนตัวว่า ‘ไปทำยังไงก็ได้ที่จะทำให้ผมไปอยู่ที่อาดิดาส’ จนฟอล์กต้องติดต่อหาพ่อแม่ของไมเคิลแล้วบอกว่าต้องการให้ไมเคิลเข้าพบกับทางไนกี้จริงๆ 

 

จอร์แดน

 

        สุดท้ายไมเคิลก็ยอมเข้าฟังข้อเสนอของไนกี้ ในการประชุมครั้งนั้น ไนกี้รู้แล้วว่าไมเคิลไม่ได้ชอบรองเท้าของตัวเอง ไนกี้จึงเสนอว่าถ้าเขาเซ็นสัญญากับไนกี้ ไนกี้ยินดีที่จะออกแบบดีไซน์รองเท้าใหม่ตามความชอบส่วนตัวของเขาได้ ข้อเสนอนี้ได้ใจไมเคิลไปเต็มๆ ไม่เคยมีแบรนด์ไหนเลยที่ยินดีจะฟังความเห็นของเขา เพราะเมื่อก่อนผู้เล่นก็แค่ใส่รองเท้าที่สปอนเซอร์ให้มาเพียงอย่างเดียว เขาจะเป็นผู้เล่นยุคแรกๆ ที่มีส่วนร่วมในการออกแบบรองเท้าด้วย ไนกี้เห็นช่องทางจึงได้เสนอสัญญา 500,000 ดอลลาร์ฯ เป็นเวลา 5 ปีให้กับ ไมเคิล จอร์แดน เป็นสัญญาที่มีมูลค่าแพงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของวงการบาสเกตบอล โดยสัญญาที่แพงที่สุดในตอนนั้นเพียงแค่ 150,000 ดอลลาร์ฯ เท่านั้นเอง ยังไม่พอ ไนกี้ยังรวมข้อเสนอรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ ซึ่งจะทำให้ ไมเคิล จอร์แดน ได้เงินถึง 7,000,000 ดอลลาร์ฯ ตลอดระยะสัญญา 5 ปีกับไนกี้       

        แต่ไมเคิล จอร์แดนก็ยังไม่ยอมเซ็นสัญญากับไนกี้อยู่ดี

        ไมเคิลเชื่อในความภักดี และในใจเขาภักดีกับอาดิดาส เขาไปหาอาดิดาสอีกครั้งเพื่อถามว่าทางอาดิดาสสามารถทำสัญญาแบบเดียวกับที่ไนกี้เสนอให้เขาได้ไหม ถ้าได้ เขาก็ยินดีที่จะเซ็นสัญญากับอาดิดาสเดี๋ยวนั้นเลย 

        อาดิดาสอยากจะเทียบข้อเสนอของไนกี้ให้ ไมเคิล จอร์แดน แต่ว่าเมื่อเรื่องไปถึงผู้บริหารที่เยอรมน กลับมีคำตอบว่า ‘ไมเคิล จอร์แดนเตี้ยเกินไป’ และอยากเซ็นสัญญากับผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์มากกว่า 

        เมื่อการตัดสินใจของบอร์ดบริหารเป็นแบบนี้ ทุกอย่างระหว่างอาดิดาสและ ไมเคิล จอร์แดน ก็จบ เขาเซ็นสัญญากับไนกี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าการเซ็นสัญญาครั้งนั้นจะกลายเป็นดีลที่ยิ่งใหญ่ขนาดที่เปลี่ยนโฉมหน้าของไนกี้ไปตลอดกาล 

 

จอร์แดน

‘Jordan’ 

        ถึงไนกี้จะทุ่มหมดหน้าตักกับการเซ็นสัญญากับ ไมเคิล จอร์แดน แต่ในเวลานั้นไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ ไนกี้เลยแทรกเงื่อนไขว่า 1. ต้องได้รางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี 2. ต้องเป็นผู้เล่นออลสตาร์ และ 3. ต้องทำคะแนนเฉลี่ยได้ 20 แต้มต่อเกม 

        ถ้าเกิดว่าไมเคิล จอร์แดน ไม่สามารถทำตามเงื่อนไข 1 ใน 3 นี้ได้ภายใน 3 ปี ไนกี้สามารถยกเลิกสัญญาได้ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเองว่าถ้านักกีฬาที่ตัวเองเซ็นนั้นไม่ได้เก่งอย่างที่คาดไว้ ทางแบรนด์จะได้ไม่ขาดทุนย่อยยับจนเกินไป 

        ไนกี้ให้เวลา 3 ปีกับไมเคิลในการทำเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จ แต่เขาทำสำเร็จทั้งหมดภายในปีแรก เขาได้รางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำปี ติดทีมออลสตาร์ และทำคะแนนเฉลี่ย 26.8 แต้ม และกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของทีมชิคาโก บูลส์

        ผ่านไป 1 ปี ไนกี้ก็ออกรองเท้ารุ่นเฉพาะตัวของ ไมเคิล จอร์แดน ออกมาชื่อว่า Air Jordan 1 โดยมีดีไซน์คลาสสิกสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ตกแต่งด้วยสีแดง ดำ ขาว อันเป็นที่จดจำ 

        เพราะไมเคิลเป็นดาวรุ่งที่เป็นความหวังใหม่ของเมืองชิคาโก้ในการคว้าแชมป์ NBA ไนกี้จึงใช้จุดขายนี้มาเป็นแผนการตลาดกับรองเท้าแทบทุกรุ่นของ แอร์ จอร์แดน คือไนกี้แทบจะไม่ได้เล่าเรื่องนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมือนอย่างอาดิดาสและนิวบาลานซ์ แต่แอร์ จอร์แดน จะเน้นการเล่าถึงความน่าสนใจในสิ่งที่นอกเหนือจากนวัตกรรมที่ทันสมัย สิ่งนั้นคือเรื่องของวัฒนธรรม ที่มาของรองเท้าคู่นี้ มันจะมีความหมายอย่างไรถ้าคุณได้สวมรองเท้าคู่นี้ การที่คุณได้สวมรองเท้าคู่เดียวกับความหวังของคนชิคาโกมันทำให้กลายเป็นกระแสการคลั่งไคล้ 

        รองเท้าแอร์ จอร์แดน คือแฟชั่น คือชัยชนะ และคือชีวิตของชาวชิคาโก แถมรองเท้าแอร์ จอร์แดน แต่ละรุ่นก็จะมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญที่สุดคือผลิตจำนวนจำกัด 

        สองปัจจัยนี้ทำให้รองเท้าแอร์ จอร์แดน เป็นที่ต้องการของเหล่าสนีกเกอร์เฮดรุ่นแล้วรุ่นเล่าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ของมันต้องมี’ จนตอนนี้รองเท้าแอร์ จอร์แดน มีถึง 35 รุ่น และคงความเป็นตำนานมามากกว่า 30 ปี โดยไม่มีท่าทีจะเลือนหายไปในเร็วๆ นี้

 

จอร์แดน

 

        ตัว ไมเคิล จอร์แดน ก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยในการร่วมพัฒนาแบรนด์ ‘จอร์แดน’ ที่ไม่ได้อยู่แค่ในคอร์ตเท่านั้น หลังจากที่เขาเลิกเล่นบาสเกตบอลแล้ว เขาก็ผันตัวจากการทำหน้าที่พรีเซนเตอร์หลักของแบรนด์มาทำงานเบื้องหลัง เขามีส่วนร่วมในการควบคุมดูแลแบรนด์ จอร์แดน มากขึ้น 

        ถึง ไมเคิล จอร์แดน จะเลิกเล่นไปแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าชื่อจอร์แดนในคอร์ตจะเลือนหายไป ไมเคิลได้ทำการรวบรวมเหล่าซูเปอร์สตาร์ในวงการบาสเกตบอลมาเป็นตัวแทนในการใส่แบรนด์ของเขาเพื่อตอกย้ำคำว่า ‘ชัยชนะ’ ที่อยู่คู่กับชื่อจอร์แดนมาตลอด โดยมีชื่อว่า ‘Jordan Team’ ที่มีสมาชิกชื่อกระฉ่อนอย่าง เรย์ อัลเลน, จิมมี บัตเลอร์, รัสเซลล์ เวสต์บรูค รวมถึงผู้เล่นหน้าใหม่มีแววอย่าง รุย ฮาชิมูระ และ เจสัน เททัม ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ Jordan Team นำทีมอยู่บนคอร์ตบาสเกตบอลเหมือนอย่างที่ ไมเคิล จอร์แดน เคยเป็น

        แฟชั่นคือขาอีกข้างหนึ่งของแบรนด์จอร์แดนที่งอกเงยออกมาหลังจากตัว ไมเคิล จอร์แดน เข้ามามีส่วนร่วมในแผนการตลาดมากขึ้น การตีตลาดสตรีทแฟชั่นทำให้แบรนด์จอร์แดนปลดแอกตัวเองออกจากการเป็นแบรนด์กีฬาเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นคนเล่นบาสเกตบอลหรือไม่ก็ตาม คุณก็สามารถใส่จอร์แดนได้อย่างมั่นใจ มีการออกคอลเล็กชันใหม่ๆ ที่เป็นการคอลแล็บฯ กับแบรนด์สตรีทแฟชั่นดังๆ อย่าง Supreme, Off-white และ Dior รวมถึงเหล่าศิลปินคนดังอย่าง ทราวิส สก็อตต์, เคนดริก ลามาร์ และเอมมิเน็ม

 

จอร์แดน

 

        แบรนด์จอร์แดนยังคงเติบโตและขยายตลาดของตัวเองไปเรื่อยๆ และได้ข้ามพรมแดนไปยังกีฬาอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเบสบอล อเมริกันฟุตบอล ฟุตบอล หรือมวย 

        ล่าสุด แบรนด์จอร์แดนได้ทำสัญญากับสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยอดทีมฟุตบอลจากฝรั่งเศส โดยผลิตชุดแข่งของทีมที่มีโลโก้ Jumpman อยู่บนชุดด้วย ก็สวยสะดุดตาแฟนฟุตบอลทั่วโลกจนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เป็นเสื้อบอลที่ไม่ว่าจะใส่ออกจากบ้านยังไงก็ไม่มีใครอายแน่นอน

        แบรนด์จอร์แดนเป็นตัวอย่างของความเป็นผู้นำที่ฝังลึกอยู่ในดีเอ็นเอไนกี้และ ไมเคิล จอร์แดน ถ้าไมเคิลไม่มีความต้องการที่จะเป็นผู้นำขนาดนี้ เขาก็คงเซ็นสัญญากับคอนเวิร์สไม่ก็อาดิดาสไปแล้ว และเป็นแค่หนึ่งในนักบาสของสังกัดแบรนด์ดังเท่านั้น และไนกี้ก็คงจะเป็นแบรนด์กีฬาที่อยู่ใต้ร่มเงาของอาดิดาสไปอีกนานถ้าพวกเขาไม่กล้าเสี่ยงกับ ไมเคิล จอร์แดน พวกเขากล้าทุ่มกับดาวรุ่งที่ยังไม่เคยเล่นเกมอาชีพแม้แต่เกมเดียว และมันก็ได้ผล รวมถึงการกล้าที่จะเล่า ‘เรื่องราว’ ที่มากกว่าสมรรถนะทางกีฬาในสินค้าของตัวเอง

 


ที่มา: