The Blood Oxygen

ถ้าออกซิเจนในเลือดเราดี ชีวิตก็ไม่ต้องหวั่นผวากับเรื่องรอบตัว

บางครั้งถ้าเรามีอาการหวาดกลัวหรือวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว เพียงแค่อะไรมากระทบใจนิดๆ หน่อยก็หัวร้อนเกรี้ยวกราดได้ง่าย สาเหตุนั้นอาจเป็นเพราะว่าระดับออกซิเจนในเลือดของเรานั้นลดลงต่ำ ซึ่งนอกจากผลเสียที่เกิดขึ้นในด้านอารมณ์แล้ว การที่มีระดับออกซิเจนต่ำนั้นอาจทำให้โรคประจำตัวอย่างโรคโลหิตจาง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับปอดและทางเดินหายใจนั้นกำเริบขึ้นด้วย และหากร่างกายมีภาวะขาดออกซิเจนมากๆ สมองก็จะประมวลผลได้ช้าลงหรือเลวร้ายกว่านั้นคือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวขึ้น

        อากาศที่อยู่รอบตัวเรานั้นส่วนประกอบหลักคือ ออกซิเจน ซึ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตทั้งของมนุษย์ พืช และสัตว์ ก๊าซออกซิเจนนั้นมีความสำคัญกับกระบวนการทางร่างกายที่มากกว่าการหายใจเข้าไปแล้วหายใจออกมาเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเราสูดก๊าซออกซิเจนเข้าไปในตัวแล้ว ร่างกายก็เริ่มกระบวนการหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน เช่น เปลี่ยนอาหารในพุงให้เป็นพลังงาน เซลล์ต่างๆ ก็มีการซ่อมแซมตัวเอง วิตามินและเอนไซม์ต่างๆ ในตัวเราก็เริ่มทำงานตามหน้าที่ของมัน 

        ดังนั้น เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะขาดออกซิเจนการทำงานของเม็ดเลือดแดงก็จะถูกขัดขวาง เซลล์ในร่างกายต่างๆ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ตับ เซลสมองก็จะตายลง นั่นคือภาวะหัวใจล้มเหลวที่กล่าวถึงในตอนต้น โดยเราแบ่งระดับต่างๆ ของออกซิเจนในเลือดที่มีผลกับร่างกายได้ดังนี้

The Blood Oxygen

ระดับออกซิเจนต่ำ (Hypoxemia หรือ Hypoxia)

        ถ้าเรามีค่าออกซิเจนในเลือดน้อยกว่า 96% ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากโรคโลหิตจาง โรคปอดหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับปอดและหลอดลม ภาวะน้ำท่วมปวด ซึ่งทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจะเกิดภาวะขาดออกซิเจน อาจจะส่งผลถึงภาวะหัวใจล้มเหลวขึ้นได้ สติเริ่มพร่าเบลอ สมองสั่งการผิดๆ ถูกๆ ดังนั้นเวลาที่อารมณ์ร้อนหรือโมโหใครอย่างรุนแรง เรามักจะได้ยินหลายคนแนะนำว่าให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกมาช้าๆ ทำอย่างนี้อยู่สักครู่อาการหวาดผวาที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ บรรเทาลง

ระดับออกซิเจนปกติ 

        ปริมาณของออกซิเจนในเลือดนี้จะอยู่ที่ 96% ถึง 99% ซึ่งเป็นปริมาณที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายมนุษย์ ถ้าเราควบคุมปริมาณออกซิเจนได้ในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสมาธิที่ดี ระบบความจำและการเรียนรู้ก็จะทำงานสัมพันธ์กับการสั่งการของสมอง มีความคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ซึ่งการรับออกซิเจนนั้นไม่ได้แค่การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เท่านั้น แต่เรายังได้รับออกซิเจนจากการดื่มด้วย ดังนั้น เมื่อดื่มน้ำบ่อยๆ ในแต่ละวันก็จะส่งผลด้านผิวพรรณให้ไม่แห้งตึง ลดการเกิดริ้วรอยได้อีกทาง ทและน้ำเองยังถูกนำไปใช้ในการเผาผลาญระบบทางเดินอาหารช่วยให้เรามีกำลังวังชา และตับเองก็จะทำการขับสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย รวมถึงสารตกค้างที่เป็นพิษต่างๆ 

        นอกจากนี้การออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ ร่างกายเราจะรับออกซิเจนได้ดีขึ้น หัวใจก็จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และทำให้สดชื่นกระฉับกระเฉง เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว

ระดับออกซิเจนสูง (Hyperoxia)

        อะไรที่มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ดีทั้งนั้น หากร่างกายได้รับออกซิเจนมากเกินไป แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นอย่างแรกคือระบบทางเดินหายใจจะเกิดอาการระคายเคือง เกิดสภาวะออกซิเจนเป็นพิษ เนื้อเยื่อภายในปอดเสื่อม มีน้ำและเลือดคั่งเกิดขึ้น จนเมื่อความต้านทานในปอดขึ้นสูงก็จะหายใจลำบาก เกิดการชักและเสียชีวิตขึ้น หรือถ้ากรณีที่เบากว่านั้นก็ยังส่งผลถึงขั้นทำให้ตาบอดเพราะออกซิเจนจะเข้าไปทำลายจอตานั่นเองThe Blood Oxygen

การวัดค่าออกซิเจนในเลือด

        เราสามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือดด้วยตัวเองด้วยเครื่องมือทางการแพทย์หรือสมาร์ตโฟนรุ่นต่างๆ ที่มีคุณสมบัติตรวจจับปริมาณออกซิเจนในเลือดได้ เพื่อประเมินสภาพร่างกายของตัวเองในขณะนั้นว่าอยู่ในสภาวะใดโดย Apple Watch Series 6 นั้น ก็มีฟังก์ชันที่ว่านี้ โดยทำงานคู่กับแอพพลิเคชัน The Blood Oxygen ซึ่งสามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดได้จากข้อมือโดยตรง เพื่อทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพโดยรวมของเรา (แต่การวัดค่าออกซิเจนโดยใช้แอพพลิเคชันนี้ ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการออกกำลังกายและตรวจเช็กสุขภาพทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงเพื่อการใช้งานทางการแพทย์) 

        โดยตัว Apple Watch Series 6 จะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยแสง LED และอินฟราเรด ที่ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการวัดค่าออกซิเจนในเลือด ระหว่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ด้านหลังของตัวเรือน โดยการใช้งานฟังก์ชันนี้เราต้องวางมือไว้นิ่งๆ เป็นเวลา 15 วินาที เพื่อให้ระบบทำการคำนวณสีของเลือด ซึ่งสีดังกล่าวจะระบุถึงระดับออกซิเจนในเลือดของเรา โดยเลือดที่มีสีแดงสดจะมีออกซิเจนอยู่มาก ในขณะที่เลือดสีแดงเข้มนั้นอาจจะมีออกซิเจนอยู่น้อย

หายใจเข้า-ออก 1 นาที เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดี 

        สำหรับ Apple Watch ที่ใช้ watchOS 3 เป็นต้นมา จะมีฟีเจอร์ Breathe หรือแอพฯ หายใจเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจได้  โดยแอพฯ หายใจนี้จะแนะนำวิธีการหายใจลึกๆ และเตือนให้คุณฝึกการหายใจทุกวัน โดยสามารถเลือกระยะเวลาที่คุณต้องการฝึกหายใจ พร้อมใช้ภาพเคลื่อนไหวและการสั่นเบาๆ ที่ช่วยควบคุมการหายใจและจดจ่อกับการหายใจ เมื่อทำตามจนครบเวลาแล้ว หน้าจอก็จะแสดงอัตราการเต้นของหัวใจขึ้นมา 

The Blood Oxygen

Conclusion

        ถ้าเราเจอใครที่อาการหัวร้อน เอะอะ โวยวาย ออกอาการเหมือนโดนผีเข้า อาจจะประเมินขั้นต้นได้ก่อนว่าระดับออกซิเจนในเลือดของคนคนนั้นลดต่ำลงจนอาจควบคุมสติตัวเองไมไ่ด้ หรือแม้แต่ตัวเองหากรู้สึกว่าอยู่ในสภาวะที่หายใจติดขัด เห็นอะไรขัดหูขัดตาไปหมด ก็ประเมินได้ว่าเราอาจอยู่ในภาวะใกล้เคียงกัน เราก็จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติได้ แต่ถึงแม้จะไม่ได้มีอาการอย่างนั้นก็ตาม การรักษาปริมาณออกซิเจนในเลือดก็ยังสำคัญเพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายเราทำงานได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังส่งผลถึงความคิดและจิตใจที่ดีขึ้นได้ด้วย ดังนั้น ลองหันมาให้ความสำคัญกับการหายใจกันตั้งแต่ตอนนี้ดีที่สุด

 


ที่มา: