“บันไดมากมายนับไม่ถ้วน แถมมีลิฟต์ ลานโบว์ลิ่ง และคนจัดดอกไม้ประจำ ฉันนอนบนเตียงปูผ้าลินินอิตาลี กินอาหารที่ปรุงด้วยฝีมือทีมพ่อครัวระดับโลก และจัดเสิร์ฟโดยมืออาชีพระดับสูงยิ่งกว่าบริกรตามภัตตาคารหรือโรงแรมห้าดาวแห่งใด ตำรวจลับใส่หูฟังพกปืนวางหน้าเรียบเฉยยืนอารักขาหน้าห้องที่เราอยู่…”
ภาพจำของใครต่อใครในบ้านที่เธออยู่อาศัยในฐานะ ‘สตรีหมายเลขหนึ่ง’ มานานแปดปี ภาพที่เธอเองไม่เคยวาดฝันไว้ในวันที่เธอยังอยู่ในบ้านอิฐหลังเล็กอัดรวมกันสี่คนในห้องที่ถูกออกแบบให้อยู่กันสองคน ณ ชานเมืองของนครชิคาโก
และแม้วันนี้เธอจะย้ายออกมาอยู่ในบ้านก่อด้วยอิฐอีกครั้ง เหลือเพียงรูปถ่ายครอบครัวหน้าบ้านสีขาวหลังใหญ่ หนังสือที่ เนลสัน แมนดาลามอบให้ ที่เป็นหลักฐานว่าชีวิตใน ‘ทำเนียบขาว’ เป็นความจริงไม่ใช่ฝัน วันนี้ที่เธอกลับมายืนปิ้งขนมปังเองอีกครั้ง แม้จะคิดถึงการมีผู้คนแวะเวียนมาไม่ขาดอยู่บ้าง แต่เวลาว่างที่ได้กลับคืนมาก็เป็นโมงยามที่ทำให้ได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เห็นกระบวนการแปรเปลี่ยน และ ‘กลายเป็น’ ชีวิตใหม่อยู่เสมอ
“ไม่ว่าอย่างใดคุณยายก็ไม่พูดอะไรสักคำ แค่วางนิ้วเบาๆ บนคีย์ C กลางเพื่อให้ฉันรู้ว่าต้องเริ่มตรงไหน เสร็จแล้วท่านก็หันหลังกลับเพื่อส่งยิ้มให้กำลังใจเล็กน้อย และปล่อยให้ฉันเล่นเพลงของตัวเอง”
วิธีการไม่สอนแต่แสดงให้เห็นของคุณยายร็อบบี หรือพ่อที่ทำงานโรงงานผู้ไม่บอกเธอว่า เขาต้องทำงานเกินชั่วโมงมากแค่ไหน เพื่อให้เธอได้ไปทัศนศึกษาในปารีสช่วงวันหยุดฤดูร้อน พ่อที่บอกกับเธอเพียงว่าเธอไม่ควรตัดสินใจเองว่ามีเงินพอหรือไม่ในการจะทำอะไร พ่อที่ทำให้เธอเห็นว่าไม่มีเรื่องยากที่เป็นไปไม่ได้ – มันก็แค่ยากเท่านั้น
รวมทั้งแม่ของเธอที่เปลี่ยนความแออัดของบ้านให้เป็นความอบอุ่น และเกร้กพี่ชายนักกีฬาที่ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ทุกที่ก็ดูอบอุ่นปลอดภัยเมื่อเดินอยู่ข้างเขา ความสัมพันธ์ในครอบครัว ทุกประสบการณ์วัยเด็กที่ค่อยๆ หล่อหลอมชีวิตคนๆ หนึ่งขึ้นมา ทำให้เธอ ‘กลายเป็นเธอ’ (Becoming Me)
ยากที่จะบอกว่าความเชื่อมั่นในตนเองของเธอนั้นเป็นผลมาจากใคร จากเหตุการณ์ไหน มันดูจะเป็นส่วนผสมกันไปจากทั้งผู้คนรอบข้างและชัยชนะเล็กๆ ที่เธอสะสมตลอดทาง ทั้งจากความเพียรพยายามจนสอบได้คะแนนสูงสุดของชั้นปี ไปจนถึงทำให้ครูแนะแนวต้องประหลาดใจที่สอบติดพรินซ์ตันได้ การท้าทายเรื่องยากให้สำเร็จไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ที่ขจัดความกลัวในใจ ความสงสัยที่เคยมีมาว่าเธอเก่งพอ ดีพอหรือยัง – เสียงวิจารณ์ตัวเองทึ่ดังที่สุด ที่เราต่างคุ้นเคย
ความไม่แน่ใจในตนเองลึกๆ ที่มีอยู่ข้างในที่ค่อยๆ หายไป เมื่อวันหนึ่งเธอได้เจอกับผู้ชายที่โผล่มาที่ห้องทำงาน ‘พร้อมชื่อแปลกประหลาด’ และรอยยิ้มชวนสั่นสะท้านที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
ผู้ชายคนที่ชอบใจเหม่อลอยคอยแต่คิดว่าจะทำให้โลกดีขึ้นได้อย่างไร ผู้ชายที่เสียงในใจไม่เคยหมกมุ่นกับคำถามว่าตัวเองดีพอหรือยัง หากจะมีอะไรทำนองนั้นที่เขาถามตัวเอง คงมีเพียงคำถามที่ว่า เขาต้องทำอย่างไรให้เก่งพอจะช่วยคนได้อีก ช่วยได้มากกว่านี้อีก…
ความสนใจต่อโลกภายนอกของเขาเหวี่ยงเธอออกจากโลกของตัวเอง ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามว่าในชีวิตนี้จะทำอะไรได้มากกว่าช่วยบริษัทสู้คดีความได้หรือเปล่า ความมุ่งมั่นเพื่อผู้อื่นของเขาที่เขย่าหน้าที่การงาน ที่เธอเคยคิดว่าเป็นความฝันของเธอ ทำให้เธอสงสัยว่าตำแหน่งและรายได้มากพอจะจ่ายค่าบริการผู้ช่วยเลือกไวน์รายเดือนได้ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาจริงๆ หรือเปล่า หรือแค่ต้องการจะพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอ เก่งพอหรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้น เธอจะต้องพิสูจน์ตัวเองไปถึงเมื่อไร ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้นไหมมากกว่าการหาคำตอบที่หมกมุ่นอยู่รอบตัวเอง
และในวันที่เธอทำลายกำแพงยอมให้เขาเข้ามา การเข้ามาของเขาที่เธอรู้ว่าจะทำให้เธอต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่ ความทุ่มเทต่อความฝันของเขาที่ทำให้เธอเห็นว่าเธอไม่เห็นจะต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น นอกจากตัวของเธอเอง
ความกล้าของเขาที่ทำให้เธอพร้อมกระโจนเข้าใส่สิ่งที่ยังไม่รู้ เมื่อเขาย้ำเธออยู่เสมอว่า “อย่ากังวลไปเลย… คุณทำได้ เราจะหาทางออกไปด้วยกัน” ความเชื่อมั่นของเขาที่ทำให้เธอแน่ใจว่าเธอทำอะไรให้โลกได้มากกว่านี้ ความเป็นเขาที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปให้ ‘กลายเป็นเรา’ (Becoming Us)
ในขณะที่เขารับเอาวินัย ความมั่นคงในความรักจากเธอ เธอก็รับความกล้า ความอิสระ ความอุทิศชีวิตให้สิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นศรัทธาจากเขา ความเป็นเราที่แปรเปลี่ยนชีวิตจากที่ๆ เราเติบโตมาไปสู่ที่ๆ เรากำลังจะกลายไปเป็น
ความเป็นเราที่ทำให้คนทั้งสองค่อยๆ ‘กลายเป็นมากกว่า’ (Becoming More) มากกว่าไม่ใช่ในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่ง ภรรยาของประธานาธิบดี อันที่จริงหากจะมีอะไรที่เธอชอบเกี่ยวกับการอยู่ในอาคารสีขาวที่ใครต่อใครต่างจ้องจับตานั่น มันคงเป็นการที่เธอได้มีบ้านอยู่ชั้นบนของห้องทำงานสามีที่ทำให้เขากลับมาทานข้าวเย็นได้แทบทุกคืน ที่พอช่วยให้ลูกสาวของเธอมีชีวิตปกติได้อยู่บ้าง – ลูกสาวของเธอ ผลแห่งความรักระหว่างเธอและเขา ที่กลายเป็นคำตอบต่อคำถามที่มีมานานว่าหากจะมีบางสิ่งที่เธออุทิศทั้งชีวิตให้ได้สิ่งนั้นจะเป็นอะไร
ลูกสาวของเธอ เด็กสาวทั้งหลายที่กลายเป็นคำตอบว่าเธออยากใช้ชีวิตให้ดีขึ้นไปเพื่อใคร ไม่ใช่เพื่อตอบคำถามหมกมุ่นกับตัวเองอีกต่อไปว่าเธอดีพอหรือยัง เก่งไหมในสายตาใคร แต่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กสาวทั้งหลายว่าชีวิตของทุกคนนั้นดีขึ้นได้ และเราต่าง ‘กลายเป็น’ คนใหม่ที่ดีกว่าอยู่ในทุกๆ วัน
‘Becoming Me’ กลายเป็นฉัน
‘Becoming Us’ กลายเป็นเรา
‘Becoming More’ กลายเป็นมากกว่า
สามบทที่ใช้แบ่งหนังสืออัตชีวประวัติเล่มหนา 544 หน้านี้ ที่ดูจะสะท้อนกระบวนการเติบโตของเราทุกคน เริ่มจากการยอมรับในสถานการณ์บริบทของชีวิตที่ตัวเองเกิดมา (Becoming Me) ยอมรับและทะนงในความแตกต่างว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เราต่างพิเศษในความเป็นตัวเอง ไปจนถึงโอบรับความสัมพันธ์รอบข้าง เปิดกว้างให้ความพิเศษของผู้คนต่างๆ ที่ชีวิตพาเราไปให้พบเจอได้หล่อหลอมเรา (Becoming Us) ได้แปรเปลี่ยน ขยายขอบเขตความเป็นตัวเราให้ไกลกว่าตัวเราเอง ไกลจนกระทั่งค้นพบว่าแม้ในความพิเศษที่เราเคยค้นพบมาแท้จริงเราไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าภาชนะหล่อหลอมประสบการณ์ และความสัมพันธ์ ค้นพบว่าเราไม่ได้เป็นอะไรเลย จนพร้อมเป็นได้ทุกสิ่ง ไม่ต้องเป็นอะไรเลย จนพร้อมเป็นได้ทุกอย่าง ขยายกว้างความปรารถนาในสิ่งที่จะทำ จะเป็นจากตัวเองไปเพื่อผู้อื่นในท้ายที่สุด (Becoming More)
การก้าวข้ามจากความเป็นตัวเองไปสู่การใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นดูจะไม่ได้นำชีวิตที่เปี่ยมความหมายมาให้มิเชลล์ผู้เดียวเท่านั้น หากยังเป็นแก่นสำคัญที่ผู้คนต่างมีร่วมกันตามผลการศึกษาหลายชิ้นที่พบว่าเราต่างค้นพบว่ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร เมื่อการดำรงอยู่ของเราส่งผลต่อใครบางคน
ครูที่ค้นพบความหมายของการเป็นครูเมื่อศิษย์บอกว่าได้เรียนรู้
แพทย์ที่ค้นพบความหมายของงานที่ทำเมื่อค้นพบว่าความยากที่ตรากตรำหลายปีในอาชีพนี้ช่วยชีวิตใครได้แม้เพียงสักคน
ทนายความที่ได้รับจดหมายจากจำเลยที่ถูกตัดสินให้เป็นอิสระว่าเขาทำให้ครอบครัวของเธอกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
พ่อที่ทำงานในโรงงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ลูกสาวของเขาได้ไปทัศนศึกษาที่ฝรั่งเศสสมใจ แม้ต้องจากไปด้วยโรคเรื้อรังโดยที่ไม่รู้เลยว่าผลจากการทำงานหนักของเขาทำให้เธอได้กลายเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และที่มากไปกว่านั้นคือได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของหญิงสาวอีกหลายคนทั่วโลกที่อาจกำลังเผชิญกับคำถามที่เธอเคยมีว่าพวกเธอดีพอ เก่งพอหรือไม่
และใช่ นี่เป็นอัตชีวประวัติเรื่องราวของผู้หญิงหนึ่งคน
แต่ก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน การกลายเป็นฉัน กลายเป็นเรา กลายเป็นมากกว่า กระบวนการสำคัญที่ทำให้เห็นว่าชีวิตนั้นแปรเปลี่ยนอยู่ทุกวัน และเราต่างเป็นอะไรได้มากกว่า เพื่ออะไรได้มากกว่าหากเราแปรเปลี่ยนทุกประสบการณ์ในชีวิตที่หล่อหลอมเรามา และใช้มันสร้างคุณค่าให้กับใคร – ที่ยิ่งใหญ่กว่าขอบเขตตัวเราเอง
เครดิตภาพ: instagram.com/michelleobama