‘วิกฤตไวรัสโคโรนา’ เป็นหัวข้อที่โด่งดัง และได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้
เริ่มจากที่มีการค้นพบว่าไวรัสชนิดนี้เริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่น จากนั้นก็แพร่กระจายออกไปยังหัวเมืองใหญ่และมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศจีน คนไทยเราก็ตื่นตระหนกกับการแพร่ระบาดครั้งนี้ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายเข้ามาในพื้นที่ของเรา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างมหาศาลในทุกๆ ปี แม้กระทั่งในช่วงเวลาหลังจากที่เชื้อไวรัสเริ่มระบาดแล้ว
สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในขณะนี้คือผู้คนมากมายกำลังวิตกกังวลต่อวิกฤตไวรัสโคโรนา แต่น้อยคนนักที่จะประจักษ์ถึงสภาพความยากลำบากของคนในพื้นที่ติดเชื้อ ตัวผู้เขียนเองแม้จะเป็นนักศึกษาที่เรียนอยู่นครเซี่ยงไฮ้ แต่ด้วยความที่ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาวพอดี จึงได้กลับมาพักผ่อนอยู่ที่ไทย แต่ถึงตัวจะอยู่ไทย ก็ยังคงได้รับข่าวสารมากมายจากประเทศจีน
ไม่ใช่แค่เพียงการประกาศจากภาครัฐในสื่อกระแสหลัก แต่ยังรวมถึงเรื่องเล่าจากเพื่อนคนจีน เพื่อนคนไทยในจีน และเพื่อนนักศึกษาต่างชาติที่ผมรู้จักในจีน ผ่านข้อความทางเฟซบุ๊ก กลุ่มวีแชต หรือแม้กระทั่งจากไอจีสตอรี
ซึ่งเป็นการอัพเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาแบบเรียลไทม์
เพียงแต่ผมเปิดเข้าไปดูไอจีสตอรีของเพื่อนชาวแคนาดาก็เห็นสภาพของถนนในเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ร้าง ไร้ผู้คน – เพื่อนคนนี้ตั้งใจบันทึกไว้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้ ถัดไปก็เป็นวิดีโอที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นบันทึกไว้ตอนอยู่ในร้านสะดวกซื้อบริเวณมหาวิทยาลัย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าขนมและอาหารสำเร็จรูปทั้งหมดถูกขายเกลี้ยงจนไม่เหลืออยู่บนชั้นวางของแม้แต่ห่อเดียว
เมื่อเปิดเข้าไปในแอพพลิเคชันวีแชตก็พบกับภาพที่เพื่อนคนไทยส่งต่อกันไป เป็นภาพของหัวผักกาดที่มีราคาสูงถึง 70 หยวน หรือประมาณ 350 บาทไทย
นอกจากนี้ เมื่อเข้าไปดูในเฟซบุ๊กก็จะเห็นโพสต์บ่นระบายจากเพื่อนๆ คนไทยที่ยังอยู่ในจีน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ว่าพบปัญหาต่างๆ นานาในการเข้า-ออกที่พัก เช่น ต้องให้ลงทะเบียนทุกครั้ง และหากออกนอกหอพักแล้วไม่กลับเข้าไปภายใน 1 คืน จะถูกห้ามไม่ให้เข้าหอพักเป็นเวลา 14 วัน โดยมีเพื่อนคนหนึ่งต้องไปใช้เก้าอี้สำหรับรอเที่ยวบินในสนามบินเป็นที่นอน ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับไทยในเช้าวันต่อมา บางคนก็บ่นว่าต้องทะเลาะกับคนคุมหอเพราะเงื่อนไขอันจู้จี้จุกจิก – แค่จะออกไปหาซื้ออาหารนอกหอพักมากินก็ต้องลงทะเบียนวุ่นวาย และถูกกำชับซ้ำไปซ้ำมาว่าให้รีบกลับ อย่าอยู่ข้างนอกนาน
บางคนออกมากล่าวถึงบรรยากาศสุดสิ้นหวังของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกควัน แต่ท้องถนนร้างไร้รถราและผู้คน มีเพียงเสียงไซเรนของรถพยาบาลดังมาเป็นระยะ โดยในเวลา 16.00-16.30 น. ของทุกวันถือเป็นเวลาเคอร์ฟิว ห้ามพลเมืองออกมานอกตัวอาคาร เนื่องจากมีการโปรยยาฆ่าเชื้อทางอากาศ มีการประกาศวันหยุดเพิ่ม ส่วนทางมหาวิทยาลัยต่างๆ ในจีนก็ประกาศเลื่อนวันปิดเทอมอย่างไม่มีกำหนด
ถึงแม้เมืองจะเงียบสงบ แต่จิตใจคนกลับเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ทางกลุ่มวีแชตของคนไทยในจีนมีการตั้งกลุ่มพิเศษเฉพาะกาลขึ้นมาเพื่อคุยกันเรื่องไวรัสโคโรนา โดยมีข้อความมากมายที่กล่าวถึงความต้องการซื้อหน้ากากอนามัยที่กำลังขาดตลาดอยู่ทั้งในจีนและไทยขณะนี้
รวมถึงข่าวลือและข้อมูลต่างๆ มากมายที่รับมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่ทางการ เชื่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางคนก็ตื่นตระหนกไปกับข่าวที่เป็น Fake News
และ Fake News ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและน่าหยิบยกมาพูดถึง หากเปรียบเทียบกับยุคสมัยก่อนหน้านี้ที่ข้อมูลข่าวสารไม่ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วอย่างในตอนนี้ เช่น ยุคที่ไวรัสซาร์สและไข้หวัดนกระบาดเมื่อผมยังเด็ก ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารมีปริมาณที่จำกัดและยังน้อยกว่านี้มาก ผู้คนจะรอฟังข่าวทางวิทยุ โทรทัศน์ หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์รายวัน แต่ใน พ.ศ. นี้ ข่าวสารที่เป็น Fake News มีมากกว่าเดิมเป็นไหนๆ ทั้งข่าวที่อ้างว่ามีผู้ติดเชื้อมากกว่า 90,000 ราย ไวรัสโคโรนาสามารถแพร่ระบาดผ่านการสบสายตา หรือคลิปต้นตอของการแพร่ไวรัสที่มาจากหญิงสาวที่บริโภคซุปค้างคาว – โดยข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้น ล้วนได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็น Fake News
เรื่องตลกร้ายก็คือ Fake News เกี่ยวกับไวรัสโคโรนา แพร่กระจายรวดเร็วยิ่งกว่าตัวไวรัสโคโรนาเสียอีก
จนถึงตอนนี้ เพื่อนๆ หลายคนของผมเดินทางกลับประเทศไทยอย่างปลอดภัยและปลอดเชื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่ยังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้จึงมีเพียงตัวเองและการจัดการของภาครัฐ ทำให้หลายขีวิตในอู่ฮั่นหันไปสวดมนต์ภาวนา พึ่งพาการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หากจะให้ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน คงต้องบอกว่าหนักหน่วง โดยเฉพาะคนในเขตพื้นที่ระบาดของเชื้อไวรัส และนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่จะพิสูจน์การทำงานของสาธารณสุขในจีน และเป็นโจทย์ที่วงการแพทย์ทั่วโลกต่างพยายามช่วยกันแก้ไข
ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าเป็นตัวคุณที่ต้องใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนเอาตัวรอดในพื้นที่เสี่ยงรับเชื้อ พื้นที่ที่ต้องแก่งแย่งเสบียงอาหารและผลิตภัณฑ์อนามัยโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะติดเชื้อตอนไหน เพราะกว่าจะรู้ตัว ก็เป็นตอนที่เชื้อฟักตัวเสร็จหลังจาก 14 วันแล้ว
ถ้าคุณอยู่ตรงนั้น คุณจะทำอย่างไร ?