วนมาถึงอีกครั้งกับเทศกาลสงกรานต์ที่แทบทุกคนรอคอย…
ถึงแม้สงกรานต์นี้บางคนจะได้หยุดยาวเป็นพิเศษ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังคงทำงานปกติ ตามประกาศยกเลิกวันหยุดของทางการ
น่าเสียดายที่แผนการเดินทางท่องเที่ยวของหลายครอบครัวต้องพังทลาย หรือใครหลายคนที่ตั้งใจจะเล่นน้ำสงกรานต์ก็ต้องผิดหวัง แต่มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคมที่เราจะต้องรักษา Physical Distancing เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19
อย่างไรก็เถอะ แม้ปีนี้จะไม่มีความคึกคักช่วงเทศกาลสำคัญที่เป็นประเพณีสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ไม่มีปาร์ตี้เล่นน้ำตามสถานบันเทิง และไม่มีทริปครอบครัวประจำปี แต่อีกมุมหนึ่ง สงกรานต์ปีนี้ก็จะไม่มีรายงานสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตามท้องถนน ไม่มีคนเมาแล้วขับ โอกาสของการเกิดปัญหาการคุกคามทางเพศระหว่างการเล่นน้ำก็ลดลงเช่นกัน
วิกฤตครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด และ ‘เทศกาลสงกรานต์ที่ไร้น้ำ’ ในปีนี้ก็เป็นหัวข้อที่ถูกเสนอขึ้นมาถกเถียงกันในวงกว้าง สำหรับคนที่ไม่ชอบเล่นน้ำก็ไม่มีเหตุให้ต้องเดือดร้อน เพราะขณะที่อีกหลายคนเซ็งเมื่อสงกรานต์ปีนี้จะต้องอยู่บ้านอย่างเงียบเหงา แต่ยังมีคนอีกกลุ่มที่รณรงค์ให้งดเล่นน้ำช่วงสงกรานต์เพื่อบรรเทาภัยแล้งมาตลอดหลายปีต้องร้องเฮ
สำหรับผม สงกรานต์ในปีนี้คือ ‘สงกรานต์ที่ได้อยู่บ้าน’ โดยแท้
หลายคนอาจมองว่าการอยู่บ้านไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับผม การได้อยู่บ้านโดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์เป็นเรื่องที่แปลกและพิเศษมาก เนื่องจากสถานะการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ทำให้ผมไม่ได้อยู่บ้านและฉลองกับครอบครัวในช่วงเทศกาลสำคัญทั้งสงกรานต์ ลอยกระทง และปีใหม่ มาตลอดระยะเวลา 4 ปี
นี่จึงเป็นเหตุให้สงกรานต์ปีนี้ค่อนข้างที่จะพิเศษสำหรับผม
ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดครอบครัวมาโดยตลอด และรักการอยู่บ้านมากกว่าการออกไปเที่ยวหรือไปโรงเรียน
จนกระทั่งเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ตอนอายุ 9 ขวบ ผมได้เข้าเรียนในโรงเรียนประจำและสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากนั้นก็ย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในประเทศจีน จนตอนนี้ผมอายุ 22 ปี วันเวลามากกว่าครึ่งชีวิตของผมถูกใช้อยู่นอกบ้าน และทำให้ผมกลายเป็นคนห่างบ้านไปโดยปริยาย
แต่เพราะ COVID-19 ทำให้ผมกลับไปเรียนที่จีนไม่ได้ กำหนดการเบื้องต้นคาดว่าจะกลับไปได้อย่างเร็วที่สุดคือช่วงต้นเดือนกันยายนปีนี้ ทำให้ปิดเทอมภาคฤดูหนาวที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นปิดเทอมที่ได้อยู่บ้านยาวนานที่สุด ด้วยระยะเวลานานกว่า 8 เดือน เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านติดต่อกันทุกวันนานถึง 8 เดือน ทั้งที่สถิติก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิน 2 เดือนเลยด้วยซ้ำ
เป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนนอกว่า ทุกครั้งที่มีงานเทศกาล พวกเราจะคิดถึงบ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเวลาเห็นภาพที่เพื่อนๆ แชร์ลงบนโลกโซเชียลฯ นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะพวกเราก็ต้องทำหน้าที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ตรงนี้เช่นกัน สำหรับบางประเทศบางเมืองที่มีนักศึกษาไทยจำนวนมาก อย่างนครเซี่ยงไฮ้ที่ผมศึกษาอยู่ จะมีกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นเพื่อรวมตัวคนไทยให้มาร่วมกันซึมซับบรรยากาศที่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาอาการคิดถึงบ้าน และเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้ชาวต่างชาติรู้จักไปในตัว
แต่สำหรับสงกรานต์ที่ได้อยู่บ้านในปีนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีให้คนที่ไม่ได้อยู่บ้านมานานครึ่งชีวิตอย่างผมได้กระชับความสัมพันธ์กับคนในบ้าน และเป็นเวลาชั่วคราวที่ผมไม่ต้องห่างบ้าน ซึ่งผลจะดีจะร้ายก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะไม่แน่ว่าบางคนที่ห่างบ้านเมื่อต้องกลับมาอยู่บ้านเป็นเวลานานอาจทำให้พบข้อเสียบางประการของคนในบ้านที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เกิดเป็นรอยร้าว และนำมาซึ่งปัญหา ก็ต้องเร่งทำความเข้าใจ คุยกัน และหาทางออกร่วมกัน
เหรียญย่อมมีสองด้าน การไม่มีสงกรานต์ในปีนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เรารู้อยู่แล้วว่าข้อเสียนั้นมหาศาล แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความพิเศษของสงกรานต์ปีนี้คือการได้อยู่พร้อมหน้ากับคนในบ้าน คนที่ห่างบ้านก็มีโอกาสได้พักพิงใจ
ส่วนสายปาร์ตี้ที่กำลังเซ็งไม่ได้ออกไปไหน หรือใครที่ต้องทิ้งตั๋วทริปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็ขอให้ลองคิดเสียว่ามันคือการเปลี่ยนบรรยากาศ ลองงดเหล้าในช่วงเทศกาลสักครั้ง ลองสรงน้ำพระออนไลน์ หรือเฟซไทม์รดน้ำดำหัวสักครั้ง นอนอยู่บ้านดูทีวี ติดตามข่าว ติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลงทุกวัน ไม่ใช่ออกไปข้างนอกให้ตัวเลขมันเพิ่มขึ้น
สงกรานต์ปีนี้จะพิเศษได้… แม้จะอยู่บ้าน…