rookie investor

ศิลปะแห่งการลงทุนแบบ ‘ไม่รู้’

ผิดมากไหม? ถ้า ‘ไม่รู้’ แล้วลงทุน คงเป็นคำถามที่ใครหลายๆ คนที่เพิ่งเริ่มศึกษาการลงทุน ต้องประสบพบเจอกันเป็นแน่

        “เราไม่ได้รู้เรื่องเศรษฐกิจเท่าผู้จัดการกองทุนหรือนักวิเคราะห์เก่งๆ หลายๆ ท่าน เราคงสร้างเงินจากสิ่งนี้ไม่ได้หรอก” – จริงๆ แล้วมันก็มีส่วนถูกอยู่นะที่จะคิดแบบนั้น เราอาจจะไปทำอะไรที่ใช่สำหรับเราและเราทำได้ดีคงจะดีกว่า

        แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่ ‘ไม่รู้’ เรื่องการเงิน เศรษฐศาสตร์หรือมึนงงกับการวิเคราะห์เศรษฐกิจติดตามตัวเลขมากที่สุด แท้จริงแล้วนั้นอาจมีความสามารถไม่แพ้กันกับนักวิเคราะห์หลายๆ ท่านเลยก็ว่าได้

        หรืออาจจะทำได้ดีกว่าด้วยซํ้า…

        ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะมองว่าดูแปลกๆ ผมจึงอยากลองหยิบยกตัวอย่างง่ายๆ มาให้ทุกคนได้ดูแล้วกัน

        ลองหลับตาในที่เงียบๆ สัก 5 นาที นึกถึงสิ่งที่คุณชอบทำมากที่สุด แล้วคุณเห็นอะไร?

        ผมเชื่อได้ว่าหลายๆ คนคงจะเห็นหนังที่ชอบดู น้ำหอมที่ชอบดม ร้านอาหารที่ชอบกินหรือของสะสมแปลกๆ ต่างๆ และหากมีใครสักคนมาขอความเห็นคุณเรื่องเหล่านี้ คุณก็คงจะอยากคุย อธิบายสิ่งต่างๆ กับเขามากๆ

        ซึ่งนี่แหละคุณ… จุดแข็งของการลงทุนที่หาใครมาเปรียบไม่ได้ มีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมากมายที่ไม่ได้เข้าใจ ชอบ และคลั่งไคล้ในธุรกิจต่างๆ เหล่านี้มากไปกว่าคุณ

        สิ่งสิ่งนี้จะทำให้คุณหาหุ้นขั้นสุดยอดนอกสายตา ที่ทุกคนมองข้ามมันไป และหุ้นนอกสายตาคือสิ่งที่พิเศษที่สุดสำหรับนักลงทุนคนหนึ่งที่พึงจะหาได้ เพราะว่าอะไร?…

        เพราะสิ่งที่คุณเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันโดดเด่นกว่าคู่แข่ง โดยยังไม่มีคนเข้าไปจับจองและมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคต มันหมายถึงว่าธุรกิจนั้นๆ มีศักยภาพการเติบโตที่สูงกว่าราคาที่มันเป็นอยู่

        ซึ่งหมายความว่าคุณพบดีลที่ยอดเยี่ยม (Good Deal) ในราคาที่ถูก ความเสี่ยงที่มันจะร่วงลงไปกว่านี้ก็แทบไม่มี (เพราะราคามันต่ำมากๆ ลงมาอีกได้ไม่เยอะ) และที่สำคัญที่สุด คุณได้ตั๋วเชิญไปงานปาร์ตี้ผลตอบแทนก่อนที่ใครคนอื่นจะได้รับเชิญเสียอีก

        “หากคุณใช้สีเทียน วาดผังธุรกิจของบริษัทที่คุณลงทุนไม่ได้ คุณอาจจะไม่เข้าใจธุรกิจนั้นอย่างแท้จริง” – Peter Lynch

        และหากคุณอยากหาตัวอย่างมาพิสูจน์ว่าวิธีการที่ว่าใช้ได้จริงๆ หรือ? ลองศึกษาโมเดลของกองทุน ONE-UGG-RA กันครับ

เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเพื่อที่จะลงทุน

        เชื่อว่าหลายๆ คนต้องติดภาพนักลงทุนใส่สูทผูกไท เข้าใจการวิเคราะห์ต่างๆ ใช้ตัวเลข ตรรกะซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วโลกของการลงทุนมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย และพวกเขาเหล่านั้นก็อาจจะ ‘ไม่รู้’ ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่เคยลงทุนนั่นแหละ

        หากจะยกตัวอย่างให้ลึกสักหน่อย ผมขอยกตัวอย่างเป็นในเรื่องของอัตราปันผล (Dividends) ที่แปลง่ายๆ ว่า ‘ผลตอบแทน’

        โดยปกติแล้วคนที่มีความคิดเป็นเหตุเป็นผลก็คงจะเข้าซื้อหุ้นหากอัตราผลตอบแทนมีการเติบโต ดังนั้น ราคาหุ้นที่แท้จริงก็ควรสะท้อนตามอัตราปันผลที่เติบโต ถูกไหมครับ?

        แต่แท้จริงแล้วมีหุ้นมากมายหลายตัวที่ราคาวิ่งนำและล่วงเกินอัตราผลตอบแทนไปมาก หรือสื่ออีกนัยหนึ่งว่ามีคนจำนวนมากมายเข้าไปซื้อหุ้น โดยไม่ได้สนความเป็นจริงจนทำให้ราคามันบิดเบือนออกไปมากกว่าที่มันควรจะเป็น

ความไม่สมเหตุสมผลของตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง?

        จริงๆ แล้วหากจะพูดเปิดเชิงทฤษฎี เขาก็คงจะเรียกสิ่งๆ นี้ว่า Behavioural Finance หรือพฤติกรรมมนุษย์กับการเงิน ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ใช้มาอธิบายว่าทำไมคนถึงไม่ซื้อหุ้นตามเหตุและผลที่แท้จริง

        และในส่วนถัดไปผมก็จะมายกตัวอย่างปัจจัยความไม่สมเหตุสมผลของคนกับตลาดหุ้นให้ทุกคนดูกัน

 

1. ร้านนี้คนนั่งเต็มเลย ต้องอร่อยแน่ๆ

        จะว่าไปอันนี้เป็นความอึดอัดส่วนตัวเหมือนกัน บ่อยครั้งที่เราได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่า “ลองร้านนี้สิ คนกินเยอะ อร่อยแน่ๆ” ตอนที่โตและรู้เรื่องประมาณหนึ่ง เราก็มักจะหงุดหงิดเสมอๆ ด้วยความเป็นคนที่มีความขบถในตัวเองจึงไม่ค่อยเชื่อไอเดียนี้เท่าไร และมักจะชอบร้านแปลกๆ ที่มักจะไม่ค่อยมีคนไป

        มากลับเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ แล้วมันจะนำมาปรับใช้กับการเล่นหุ้นได้อย่างไร คุณเคยเห็นหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มที่คนต่างยกย่องเชิดชูความสุดยอดของมันและคุณก็เชื่อหมดใจจนลืมนึกถึงข้อเสียหรือเปล่าล่ะ? ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่เชื่อโดยไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเติบโต ความสมเหตุสมผล ของหุ้นกลุ่มนั้นๆ มันสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่? และก็ลงทุนไปกับมันเพียงเพราะว่าคนอื่นเขาบอกว่ามันดี

        มันก็คล้ายๆ กับการที่เราเลือกร้านอาหารที่คนเยอะๆ เพราะคิดว่ามันอร่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถตัดสินคุณภาพอาหารจากการมองผ่านกระจกของร้านได้ เราควรเข้าไปนั่งและลองทาน จึงจะเป็นกระบวนการตัดสินที่ถูกต้องต่างหาก

 

2. ทฤษฎีเสียงเชียร์ ปรบมือและกู่ร้อง

        ถ้าเป็นคนที่ติดตามเรื่องการลงทุนมานานพอสมควร ตัวอย่างที่ถ้าหากหยิบยกขึ้นมาแล้ว หลายๆ คนคงจะเห็นภาพมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น ‘บิตคอยน์’ ในยุคเฟื่องฟูของมันผู้คนก็ต่างกู่ร้องถึงความสุดยอด ว่าเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตและลํ้าค่าเหนือสิ่งอื่นได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วพื้นฐานของมันคืออุปสงค์และอุปทานของคนล้วนๆ

        แต่หลังทุกคนกู่ร้องและปรบมือจนสุดเสียง ไม่นานนักมูลค่าของมันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว รุนแรงและเสียงเชียร์ต่างๆ ที่ว่าก็ค่อยเงียบลงไป คล้ายๆ กับเวลาคนปรบมือในที่ประชุม ที่ท้ายที่สุดแล้วเสียงเหล่านั้นก็ต้องค่อยๆ แผ่วเบาลงไป

        แนวคิดนี้จะนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้อย่างไร? วิธีปรับใช้ที่ดีที่สุดก็คือ ตั้งคำถามกับสินทรัพย์ที่คนเริ่มคิดว่ามันดีและราคาของมันเติบโตอย่างรวดเร็ว ร้อนแรง จนคนหลายๆ คนเริ่มสนใจและอยากลงทุน เพื่อให้เราคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น

        แล้วตอนนี้คนเชียร์อะไรกัน? ผมมองว่า ‘ทองคำ’ นี่แหละครับ

 

3. พวกเราชอบยึดติดกับอะไรสักอย่าง

        มีการทดลองของสองนักจิตวิทยาอย่างคุณ Amos Tversky และ Daniel Kahneman ที่พิสูจน์ออกมาว่าผู้คนมักยึดติดกับสิ่งที่เห็น โดยการทดลองดังกล่าวมีการใช้กงล้อตัวเลข (Wheel of Fortune) ที่มีเลข 1-100 เหมือนที่เราเห็นกันในรายการเกมโชว์ต่างๆ

        หลังจากหมุนและได้ตัวเลขเสร็จเรียบร้อย ก็ได้มีการส่งแบบสอบถามหลังจากนั้น โดยให้โจทย์ว่า ‘สัดส่วนชาติแอฟริกันที่อยู่ในองค์การ UN มีอยู่เท่าไหร่’ ผลที่ได้ก็คือผู้คนต่างให้คำตอบเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ได้หลังจากการหมุนกงล้อ

        แล้วเรานำมาใช้กับการลงทุนได้อย่างไร? คงต้องย้อนไปถึงตอนที่ตลาดหุ้นถูกเทขายในปี 1987 ที่มีลักษณะการลดลงคล้ายช่วงปี 1929 หลังผู้คนต่างให้ความเห็นว่าการถูกเทขายในครั้งนั้นมีความคล้ายคลึงกับปี 1929 เราจึงอาจสรุปได้ว่า หากผู้คนอิงการปรับตัวของตลาดหุ้นกับช่วงไหนสักช่วง มันก็มีความเป็นไปได้ว่า การปรับตัวในช่วงนั้นจะคล้ายๆ กับข้อมูลที่เราได้เห็นในช่วงนั้นๆ เช่นกัน

สรุปแล้ว…

        จริง ๆ แล้วมันไม่ผิดเลยที่เราจะ ‘ไม่รู้’ แล้วลงทุน และความไม่รู้นี่แหละที่จะทำให้เรามีมุมมองที่แตกต่าง และถอยออกมาหนึ่งก้าว พร้อมทั้งใช้เวลาคิดมากกว่าคนอื่นๆ เขา รวมถึงมองเห็นสิ่งที่คนอื่นๆ เขาได้มองข้ามมันออกไป

        แต่การไม่รู้นี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะไม่สนใจในอะไรสักอย่างเลยหลับตาจิ้มหุ้น และเดินแบบสุ่มไปในตลาดราวกับคนตาบอด จนรวยได้ทันตาเห็น พอคนเขาตกใจเราก็ตกใจตาม พอคนเขาดีใจเราก็ดีใจไปกับเขาด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนักจากตลาดหุ้น

        เพราะฉะนั้น เราควรที่จะลงทุนในสิ่งที่เรารัก รู้และเข้าใจมันมากที่สุด แยกเหตุผลกับอารมณ์ สืบหาความเป็นจริงเบื้องหลังข้อมูลต่างๆ มากมายที่ถูกปรุงแต่ง

        แยกแยะระหว่าง ‘ผู้รู้ที่แท้จริง’ กับ ‘ผู้ที่ไม่รู้แต่คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว’ ให้ออก ซึ่งผมมองว่าเป็นปัญหาที่หนักหน่วงสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนเลย เพราะคนเหล่านี้จะนำพาเราไปเรียนรู้แบบผิดๆ หรือหากเลวร้ายไปกว่านั้นเขาอาจจะหลอกเอาเงินเราไปหมดตัวเลยก็ได้ ดังที่เราเห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์สักสิบปีที่แล้ว หรือตามข่าวในโซเชียลฯ สมัยนี้

        เพราะฉะนั้น ศิลปะแห่งการลงทุนแบบ ‘ไม่รู้’ ที่แท้จริง อาจจะเป็นการที่เรารู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง ก็เป็นได้

        ขอให้ทุกคนโชคดีครับ

 

ร่วมติดตาม และสื่อสารกับเราได้ทาง https://finno.me/alphapro-adB

 


อ้างอิง : 
Shiller, Robert. Irrational Exuberance. Princeton, Princeton University Press, 2016.