สมุนไพรไม่ได้เป็นมิตรกับเราเสมอไป เรื่องควรรู้ของการกินสมุนไพรและวิตามินมากเกินไป อาจตับพังไม่รู้ตัวจริงๆ ใช่ไหม?

ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าคนไทยหันมาบริโภคสมุนไพรและวิตามินกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่การระบาดของโรคโควิด-19 ยังควบคุมไม่ได้แบบนี้ ส่งผลให้สมุนไพรไทยอย่างฟ้าทะลายโจรและกระชายขาว ถึงกับขาดตลาดเลยทีเดียว

        ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลายคนเชื่อว่าการบริโภคสมุนไพรและวิตามินต่างๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ แต่รู้หรือไม่ว่า การบริโภคสมุนไพรและวิตามินในปริมาณที่มากเกินไปหรือต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน กลับไม่ได้ส่งผลดีอย่างที่เราหวัง หนำซ้ำยังเป็นการสร้างปัญหาให้กับตับของเราอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย 

        แล้วการกินสมุนไพรและวิตามินส่งผลกับตับของเราอย่างไร เราจะเล่าให้คุณฟัง

สมุนไพรมีคุณ แต่ก็มีโทษเช่นกัน 

        สมุนไพรถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคและเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายอย่างแพร่หลาย เพราะคนทั่วไปคิดว่าสมุนไพรเป็นพืช จึงไม่น่าจะมีพิษต่อร่างกาย แต่ในความเป็นจริงนั้น สมุนไพรอาจก่อให้เกิดอันตรายจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่

        • สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการแพ้ (Allergic Reactions)  

        • สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (Adverse Effects)

        • สมุนไพรที่ทำให้ยาที่ใช้เป็นประจำเพิ่มหรือลดระดับได้ (Herb and Drug Reactions)

        • สมุนไพรที่อาจมีการปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรคในขั้นตอนการผลิต (Contamination)  

        • สมุนไพรที่อาจมีการปลอมปนสารเคมีชนิดอื่นๆ (Adulterants) โดยส่วนใหญ่มักปลอมปนมากับสเตียรอยด์ 

        • สมุนไพรที่ทำให้เกิดการเป็นพิษ (Toxic Reactions) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยมีมติให้ระงับการผลิตและเก็บยาสมุนไพรขี้เหล็กออกจากตลาด เนื่องจากในปี พ.ศ. 2542 มีรายงานว่า ใบขี้เหล็กในรูปแบบยาอัดเม็ดทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าคาวา (Kava) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ ก็ทำให้เกิดการเป็นพิษต่อตับเช่นกัน 

กินวิตามินมากไป ทำลายสุขภาพ 

        วิตามินมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้เป็นไปตามปกติ ซึ่งหากร่างกายได้รับวิตามินไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ซึ่งแหล่งที่มาของวิตามินโดยทั่วไปก็คือ อาหารและจากกระบวนการผลิตภายในร่างกาย ทำให้บางคนพยายามเพิ่มแหล่งวิตามินให้กับร่างกายด้วยการรับประทานอาหารเสริม รวมถึงวิตามินแบบอัดเม็ด อย่างไรก็ตาม หากร่างกายได้รับวิตามินมากเกินไปหรือใช้ผิดวิธี ก็อาจส่งผลเสียได้มากมาย ดังต่อไปนี้ 

        • วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและสามารถสะสมไว้ในร่างกายเพื่อเก็บไว้ใช้งาน แต่ถ้าได้ในปริมาณที่เกินความจำเป็นหรือเป็นระยะเวลานานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผมร่วง ตับอักเสบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ 

        • วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะอึดอัดในท้อง ท้องเสีย รวมถึงระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ หรือถ้าหากกินวิตามินซีติดต่อกันนานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นนิ่วในไตได้ 

        • วิตามินดี เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองจากผิวหนังเมื่อสัมผัสกับแสงแดด มีประโยชน์ในการยับยั้งการเกิดโรคกระดูกพรุนและลดการแตกหักของกระดูก แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในไตได้เช่นกัน 

        • วิตามินอี ละลายได้ดีในไขมัน ใช้ในการรักษาภาวะไขมันพอกตับ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติได้ 

        • สังกะสี ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและป้องกันเชื้อโรค และสามารถขับออกทางอุจจาระได้ ถ้าร่างกายดูดซึมได้ไม่หมด แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ

        • ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง ช่วยลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และเกิดการเป็นพิษต่อเซลล์ ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญๆ ในร่างกาย เช่น ตับ หัวใจ ไต ปอด ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

สมุนไพรและวิตามิน ทำให้ตับพังได้อย่างไร

        ตับจัดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการสร้างกลูโคส กรดอะมิโน ไขมัน และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว รวมถึงกำจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย และถึงแม้ว่าตับจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ถ้าต้องทำงานหนักเกินไปหรือมีความผิดปกติเรื้อรังเกิดขึ้น ก็อาจส่งผลให้ตับถูกทำลาย และลุกลามเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

        ซึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของตับส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การเผชิญกับสารเคมีหรือสารพิษเป็นประจำ ภาวะอ้วนลงพุง รวมถึงการกินยา วิตามิน หรือสมุนไพรที่มากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ซึ่งจะส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น และถ้าไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ทัน ก็อาจก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย และทำลายเนื้อตับได้ 

อย่ามองข้ามสุขภาพตับ 

        สำหรับประเทศไทย โรคตับเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตติด 1 ใน 10 ดังนั้น การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงดังต่อไปนี้ 

        • ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ 

        • ผู้ป่วยโรคตับ หรือสงสัยว่าเป็นโรคตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบ โรคตับแข็ง

        • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

        • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

        • ผู้ที่มีอาการตาเหลืองและตัวซีดเหลืองผิดปกติ

การตรวจสุขภาพตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (FibroScan) 

        การตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน เป็นเทคโนโลยีการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และสามารถตรวจซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นก็กลับบ้านได้ 

        ผลจากการตรวจไฟโบรสแกน สามารถช่วยประเมินระดับความรุนแรงของภาวะตับแข็ง รวมถึงติดตามผล และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

วิธีตรวจ

        • นอนหงาย จากนั้นยกแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ 

        • ทาเจลที่หัวเครื่องตรวจหรือผิวหนังผู้ป่วยเล็กน้อย

        • ทำการตรวจวัดบริเวณตรงกลางเนื้อตับในจุดเดียวกันทั้งหมด 10 ครั้ง

        • ผลที่ได้จะเป็นค่าความแข็งของตับและค่าปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยแพทย์จะแปลผลที่ได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการรักษาต่อไป 

        การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพตับ ควรงดน้ำ อาหารและเครื่องดื่มให้พลังงานอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนตรวจเลือด และตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องมือแพทย์ที่ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือการฝังแร่กัมมันตรังสี รวมถึงผู้ป่วยที่มีน้ำในช่องท้อง ไม่แนะนำให้ตรวจด้วยวิธีนี้ 

        แม้ผลกระทบจากการใช้สมุนไพรและวิตามินจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปและต่อเนื่องยาวนาน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะสุขภาพตับ ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเพื่อรักษาโรคหรือบำรุงร่างกาย พี่หมอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน หรือจะสอบถามรายละเอียดการใช้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดกับตัวเราเอง ที่สำคัญ ควรหยุดใช้ทันทีเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์


 

บทความโดย: นายแพทย์ศรัณย์ สมพรเสริม
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท