มารู้จัก Home Isolation และ Telehealth การดูแลสุขภาพทางไกล ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล

ตั้งแต่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประเทศไทยกำหนดให้ผู้ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ทุกคนจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องตามขั้นตอน และเพื่อควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาดต่อไปยังบุคคลอื่น ซึ่งผู้ป่วยมีทั้งที่แสดงอาการ และผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ  

        เมื่อมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจากสถานการณ์การระบาดรอบใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน อีกทั้งยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการลดลงแต่อย่างใด จนโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเข้ารักษาได้ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อต้องรอเตียง ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

        แนวคิดเรื่องการรักษาตัวเองจากที่บ้าน หรือ Home Isolation จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถกักตัวที่บ้านอย่างถูกวิธี เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเองและคนในครอบครัวได้ 

ทำความรู้จัก Home Isolation

        Home Isolation หรือการดูแลตัวเองจากที่บ้าน สามารถทำได้ในผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการเท่านั้น เพื่อสังเกตอาการและควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง ทั้งนี้ เมื่อตรวจพบเชื้อ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินใช้แนวทางการดูแลตัวเองจากที่บ้าน โดยผู้ติดเชื้อต้องมีอายุน้อยกว่า 60 ปี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีภาวะอ้วน หรือเป็นผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยผู้ป่วยต้องยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเองอย่างเคร่งครัด โดยต้องอยู่คนเดียว หรือมีผู้อยู่ร่วมที่พักไม่เกิน 1 คน ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้

        • ห้ามออกจากบ้านและห้ามผู้ใดมาเยี่ยม 
        • งดการเข้าใกล้หรือสัมผัสเด็กและผู้สูงอายุอย่างเด็ดขาด
        • แยกห้องพัก ของใช้ส่วนตัว และให้รับประทานอาหารในห้องของตนเอง
        • กรณีไม่สามารถแยกห้องได้ ควรแยกบริเวณที่นอนให้ห่างจากคนอื่นมากที่สุด โดยไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทตลอดเวลาแทน
        • สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อต้องออกมาจากห้อง 
        • ล้างมือด้วยสบู่ หรือทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ และต้องล้างทุกครั้งก่อนหยิบจับของใช้ที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
        • แยกขยะ เนื่องจากขยะของผู้ติดเชื้อถือเป็นขยะติดเชื้อ 
        • แยกซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู และเครื่องนอน 
        • แยกใช้ห้องน้ำ หากเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้ห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย และล้างทำความสะอาดห้องน้ำทุกครั้งที่ใช้เสร็จ
        • ผู้ป่วยต้องหมั่นสังเกตอาการของตัวเอง วัดอุณหภูมิของตัวเองทุกวัน
        • สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโดหรือหอพัก ควรแจ้งนิติบุคคลหรือเจ้าของหอพัก และงดออกจากห้องโดยเด็ดขาด  
        • หากใช้บริการเดลิเวอรี ต้องใส่หน้ากากทุกครั้งที่รับของ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับพนักงานส่งของ และล้างมือบ่อยๆ 
        • หากมีอาการแย่ลง เช่น หอบ เหนื่อย ไข้สูงลอย จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ให้รีบโทรติดต่อโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
        • สิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะอยู่บ้านคนเดียวหรืออยู่กับครอบครัว ต้องไม่ลืม ‘สวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาด และเว้นระยะห่าง’ อยู่เสมอ

        สำหรับขั้นตอนของโรงพยาบาล เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ดูแลตัวเองจากที่บ้าน

        • ลงทะเบียนผู้ติดเชื้อโควิด-19
        • มีภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) แสดงผลปอดปกติ
        • มีปรอทวัดไข้และเครื่องวัดค่าออกซิเจนในเลือดสำหรับผู้ติดเชื้อ เพื่อวัดไข้และระดับออกซิเจนด้วยตนเอง รายงานต่อโรงพยาบาล
        • มีช่องทางสื่อสารกับผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
        • วางแผนการติดต่อสื่อสารและรับผู้ติดเชื้อเข้าสู่โรงพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน

        สำหรับอาการฉุกเฉินที่ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที    

        • อาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก
        • อาการเจ็บ ปวด แน่นหน้าอกอย่างต่อเนื่อง
        • ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น ไม่ตอบสนอง
        • เล็บและริมฝีปากซีดลง หรือมีสีคล้ำขึ้น
        • อาการอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

เตรียมใจให้พร้อมรับกับการทำ Home Isolation 

        จากรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 พบว่า เชื้อในตัวผู้ติดเชื้อมีความสามารถในการแพร่กระจายสู่บุคคลอื่นในระยะเวลา 10 วันหลังจากติดเชื้อ ซึ่งหลังจาก 10 วันแล้ว เชื้อจะไม่สามารถแพร่กระจายได้อีกต่อไป แต่เชื้อยังคงอยู่ในตัวผู้ติดเชื้อได้ ดังนั้น จึงมีคำแนะนำให้ผู้ป่วยดูอาการตนเองและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลา 14 วัน ตามระยะเวลาของการเกิดการติดเชื้อ 

        นอกจากความวิตกกังวลจากการติดเชื้อ โควิด-19 แล้ว การที่ต้องแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน อาจเพิ่มความเหงาและความเครียดให้ผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น การหาสิ่งผ่อนคลายตนเองจึงมีความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องดูแลตัวเองจากที่บ้าน เช่น

        • การติดต่อสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัวผ่านโทรศัพท์และโซเซียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ  
        • การออกกำลังกายง่ายๆ ภายในบริเวณบ้าน เช่น เต้น โยคะ บอดี้เวทเทรนนิ่ง ช่วยลดความเครียด และทำให้มีสุขภาพดี 
        • ทำกิจกรรมที่ชอบและสามารถทำคนเดียวได้ เช่น ดูภาพยนตร์ ซีรีย์ ฟังเพลง
        • วางแผนกิจกรรมต่างๆ ภายในระยะเวลา 10-14 วัน
        • เตรียมอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และงดการดื่มแอลกอฮอล์    
        • ทำจิตใจให้แจ่มใส เบิกบาน
        • วางแผนและเตรียมความพร้อมกรณีมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น    

New Normal กับยุค Telehealth

        นอกจากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและต้องดูแลตัวเองจากที่บ้าน บุคคลปกติที่ไม่ติดเชื้อก็มีความจำเป็นต้องดูแลตัวเองด้วยความระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการ Social Distancing ที่ยังจำเป็นต้องทำอย่างเคร่งครัด ไม่ออกไปยังสถานที่เสี่ยงต่างๆ 

        Telehealth หรือการดูแลสุขภาพทางไกลผ่านเครื่องมือสื่อสารจึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ผู้มีความกังวลที่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เช่น

        • ให้คำปรึกษา ติดตามอาการ และแปลผลตรวจสุขภาพกับแพทย์ผ่านระบบ Virtual Hospital 
        • ให้บริการเจาะเลือด ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ส่งยา ทำกายภาพบำบัด ทำแผลและอื่นๆ
        • ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก ด้วยอุปกรณ์วัดค่าสุขภาพ เพื่อลดโรคแทรกซ้อนและการกลับมาเป็นซ้ำ ช่วยให้ผู้ที่ดูแลอุ่นใจได้

        สำหรับประเทศไทย Telehealth ถูกนำมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะกับการรักษาพยาบาล  (Telemedicine)  แต่ส่วนใหญ่เน้นไปที่การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เนื่องจากยังมีข้อจำกัดหลายๆ ด้าน หนึ่งในข้อจำกัดที่สำคัญ คือ การที่แพทย์ไม่สามารถตรวจร่างกายผู้ป่วยได้เองโดยตรง จึงเป็นเรื่องยากในการวินิจฉัยโรคและตัดสินใจให้การรักษาอย่างถูกวิธี 

        อย่างไรก็ตาม การนำเครื่องมือในกลุ่ม Handheld Examination Kit เช่น TytoCare ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่รวมชุดอุปกรณ์ Digital Stethoscope เพื่อตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้น ใช้ฟังเสียงหัวใจและปอด ส่องดูหู ลำคอ จมูก ผิวหนังและวัดอุณหภูมิร่างกายได้ในเครื่องเดียว โดยสามารถใช้งานได้เองที่บ้าน และส่งข้อมูลให้แพทย์โดยไม่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ซึ่ง TytoCare ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของทั้งสหรัฐอเมริกาและไทยเรียบร้อยแล้ว ผู้รับบริการจึงสามารถมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้นจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งให้ผลการตรวจที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้


บทความโดย: พญ. ชนัญญา ศรีหะวรรณ์ 
อายุรแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาล สมิติเวช สุขุมวิท

ที่มา:https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/Covid_Health/Attach/25640702093509AM_home%20isolation_n_01072021_V2_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A.pdf
https://www.samitivejhospitals.com/th/page/samitivej-care-plus-at-home-svh
https://www.samitivejhospitals.com/th/page/tytocare

ภาพ: Getty Images