“เมื่อผมได้เจอกับผู้หญิงคนนี้ในลอนดอน ภาวะซึมเศร้าของผมลดลง หัวใจในตอนนี้เต็มไปด้วยความรักอีกครั้ง และผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ ท่านประทานให้พวกเราแบ่งปันรสชาติในแบบเดียวกัน ในหนังสือแบบเดียวกัน และในดนตรีแบบเดียวกัน แบบนี้แปลว่าต้องมีความหมายอะไรใช่ไหม”
ถ้อยคำที่ สกอตต์ นอยสตัดเตอร์ ผู้เขียนบทหนังเรื่อง 500 Days of Summer กล่าวถึง เจนนี เบกแมน แฟนสาวคนเก่าคนโปรด ก่อนที่เธอจะทอดทิ้งเขาไปในคืนวันหนึ่ง ด้วยความโมโหโกรธแค้น สกอตต์จึงเริ่มเขียนบทหนัง และเริ่มพัฒนาตัวละครหนึ่งจากแฟนเก่าของเขาขึ้นมา ก่อนที่ มาร์ก เวบบ์ ผู้กำกับหนัง จะหยิบบทไปพัฒนาต่อ
“ผมสร้างหนังเรื่องนี้ด้วยการเล่นกับความคาดหวังของผู้คน โดยทางเทคนิคผมจะใช้มุกตลกที่เห็นได้ทั่วไปแบบในหนังสูตรสำเร็จ เช่น ตัวเอกมีน้องสาวฉลาด, มีฉากคาราโอเกะไว้บอกความสัมพันธ์ผ่านบทเพลง ซึ่งผมหวังว่าความเรียบง่ายและธรรมดาจะทำให้ผู้คนเข้าใจและซาบซึ้งไปกับตัวละครได้ง่ายขึ้น”
แน่นอนว่าสุดท้ายเราได้เรื่องราวความรักเพียง 500 วันของทอมและซัมเมอร์ที่เรียบง่ายขึ้นมา และหลังจากวันที่ 500 จบลง ความสัมพันธ์ได้แปรเปลี่ยนเป็นความยุ่งยากและน่าปวดหัวที่คนดูต้องมาคุยกันว่า สุดท้ายแล้วในความสัมพันธ์นี้ใครเป็นคนผิดกันแน่
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหา 500 Days of Summer (2009)*
ซัมเมอร์ (ซูอี้ เดชาเนล) สาวข้างบ้านที่มีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างรุนแรง เธอเฝ้าตามหารักแท้ผ่านผู้ชายมากหน้าหลายตา ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารักจริงๆ สักครั้ง แต่กระนั้นเธอก็ยังเฝ้าตามหา และยังเป็นที่หลงใหลจากชายมากหน้าหลายตาอยู่เสมอ รวมถึงทอม (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิต) ชายหนุ่มผู้ทำอาชีพคนเขียนโปสต์การ์ดเชื่อมความสัมพันธ์ผู้คน แต่กลับใช้ชีวิตอยู่นอกวงจรของความรักและความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง จนวันหนึ่งที่ซัมเมอร์เดินเข้ามาในชีวิตของเขา ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับตาลปัตร หัวใจของทอมเริ่มสั่นไหว แม้กระทั่งโลกทั้งใบของทอม (ในหนังตั้งแต่ช่วงพบซัมเมอร์) ก็กลายเป็นสีฟ้าแทบทั้งหมด ดังเช่นฉาก You Make My Dreams
แม้ว่าซัมเมอร์จะตั้งกติกาไว้แล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอคือการรู้จักกันในฐานะเพื่อน แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เรื่องราวบานปลาย กลายเป็นโศกนาฏกรรมทางจิตใจของทอมผู้น่าสงสารคนนี้
เพราะซัมเมอร์ต้องการความรักมาโดยตลอด
ทำไมจากคนที่ไม่เชื่อเรื่องความสัมพันธ์และไม่ยอมเป็นแฟนกับทอมอย่างซัมเมอร์ ถึงกล้าแต่งงานกับชายหนุ่มที่เพิ่งเจอในร้านกาแฟหลังจากยุติความสัมพันธ์กับทอมไม่ถึง 1 ปี
เพราะจริงๆ แล้ว ซัมเมอร์ก็เชื่อในความรักและโหยหาชีวิตคู่มาตลอด มีตอนหนึ่งที่ซัมเมอร์เข้าไปดูหนังเรื่อง The Graduate (1967) ในฉากที่เบน (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน) อยู่บนหลังรถเมล์กับโรบินสัน (แอนน์ แบนครอฟต์) หลังจากที่ทั้งคู่พากันหนีออกมาจากงานแต่งงาน ฉากนั้นทำเอาซัมเมอร์ร้องไห้ออกมาหนัก เราคิดว่าเธอเองคงได้สัมผัสถึงคำว่ารักแท้จริงๆ ผ่านความพยายามอย่างมหาศาลของตัวเบน หรือตอนที่ซัมเมอร์และทอมไปร่วมงานแต่งของเพื่อน เธอก็แสดงอาการดีใจที่ได้รับดอกไม้จากเจ้าสาวในงานแต่งเช่นกัน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ซัมเมอร์ลองคบกับผู้ชายหลากหลายรูปแบบ ทั้งนักพายเรือคายักสมัยมัธยม, หนุ่ม Puma ที่สเปน หรือแม้กระทั่งหญิงสาวมือเบสในวงดนตรีร็อก ซัมเมอร์เป็นหนึ่งคนที่เคารพและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองอย่างมาก แต่ไม่ว่าทอมจะทำดีกับซัมเมอร์แค่ไหน เธอก็ไม่สามารถคบกับทอมในฐานะแฟนได้เลย
เพราะเธอกำลังตามหาใครสักคนอยู่ แต่มันไม่ใช่ใครก็ได้ไง
การไอ การจาม และความรักคือสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมซัมเมอร์ที่เจอกับชายหนุ่มในร้านกาแฟแค่เพียงแป๊บเดียวเธอก็มั่นใจทันทีว่านี่คือผู้ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยแน่นอน
“แล้วถ้าฉันไปที่นั่นช้าไป 10 นาทีล่ะ หรือถ้าบ่ายวันนั้นฉันไปกินกาแฟที่ร้านอื่นล่ะ” คำพูดนี้ของซัมเมอร์ช่วยทำให้มั่นใจว่าเธอคือหญิงสาวที่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตและความรักอย่างหมดหัวใจ เชื่อถึงขนาดนำมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจที่จะแต่งงานกับใครสักคน คุณไม่สามารถหาเหตุผลกับการตัดสินใจของซัมเมอร์ได้หรอก เพราะแม้กระทั่งตัวซัมเมอร์เองยังทำไม่ได้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกของซัมเมอร์ที่เธอไม่สามารถโกหกตัวเองได้จริงๆ
แล้วทำไมซัมเมอร์ถึงต้องทำแบบนี้กับทอมล่ะ?
จากข้อตกลงที่ซัมเมอร์กำหนดไว้ให้ทอมตั้งแต่เริ่มแล้วว่าเป็นความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ก็ถือว่าโหดร้ายสำหรับทอมอยู่มาก การทำกิจกรรมและใช้ชีวิตแบบคนรักในฐานะเพื่อนแบบนี้ทำให้ คนที่แอบชอบซัมเมอร์มาโดยตลอด รู้สึกว่าตัวเองสามารถพิชิตใจซัมเมอร์ได้ และเริ่มตั้งความหวังไว้กับเธอสูงมาก แต่สุดท้ายก็อย่างที่รู้กัน ความสัมพันธ์ทั้งสองคนก็จบลงในแบบที่ไม่สวยงามเท่าไหร่นัก
คนรักกันเท่านั้นถึงจูบกัน เพื่อนกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก
คนรักกันเท่านั้นถึงจับมือกันที่อิเกีย เพื่อนกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก
คนรักกันเท่านั้นถึงจูบและมีอะไรกันในอ่างน้ำ เพื่อนกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก
ทอมก็เช่นกัน เขาก็คิดไปเองคนเดียวทั้งหมด เพราะสำหรับซัมเมอร์แล้ว นี่อาจจะเป็นกิจกรรมที่เพื่อนสนิททำกันตามปกติ ฟังแล้วตรรกะซัมเมอร์อาจจะดูผิดเพี้ยนไปหน่อย แต่ก็ไม่ผิดอะไรเลยที่ซัมเมอร์เลือกที่จะเชื่อแบบนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์ ซัมเมอร์ก็ตีกรอบให้ทอมแต่แรกแล้ว และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทอมเองก็ไม่เคยถามเธอเลยสักครั้งว่าซัมเมอร์รู้สึกยังไงกับเขา แต่สิ่งเดียวที่ทอมพยายามถามมาตลอดคือการหาคำตอบของหัวใจตัวเองว่า “ระหว่างเราสองคน เราเป็นอะไรกัน?”
ทอมกำลังคาดหวังให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้น ยิ่งฉากบนเตียงที่ซัมเมอร์เล่าเรื่องราวในอดีตพร้อมตบท้ายด้วยคำว่า “เรื่องนี้เราไม่เคยบอกใครเลยนะ” ทำให้ทอมขุดหลุมที่ชื่อว่า ‘ความหวัง’ ลึกกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ทั้งที่ในความจริงแล้วซัมเมอร์ก็ยังเป็นซัมเมอร์คนเดิมที่ยังรู้สึกกับทอมในฐานะเพื่อนสนิทแบบวันแรกที่คุยกัน
มีแต่ทอมที่กำลังพยายามทำป้ายแปะไว้ที่ตัวซัมเมอร์ตลอดเวลาว่า ‘เธอเป็นแฟนฉันนะ’ โดยเฉพาะฉากต่อยกับคนในบาร์ เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซัมเมอร์ถึงจะต้องโกรธทอม เพราะทอมกำลังทำตัววางกล้ามเหมือนว่าตัวเองเป็นแฟนของซัมเมอร์ที่กำลังปกป้องเธออยู่ ทั้งที่ในความจริงทอมสามารถอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้เรื่องเงียบไปก็ได้ แต่ทอมเลือกที่จะแสดงออกในฐานะเจ้าของ
ความลักลั่นย้อนแย้งของทอมขนาด โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิต ยังเคยทวีตเอาไว้ในปี 2008 ว่า “สาเหตุการเลิกกันทั้งหมด เป็นเพราะทอมนั่นแหละ เขาเห็นแก่ตัว เขาไม่รับฟังซัมเมอร์ โชคดีที่ในตอนท้ายเขาได้เรียนรู้และยังเติบโตขึ้นมาบ้าง”
ถ้าพูดในแง่ความรู้สึกของซัมเมอร์ที่มีต่อทอมในฐานะเพื่อน เธอเป็นเพื่อนที่รักทอมมาก ตลอดทั้งเรื่อง เรามักจะเห็นซัมเมอร์พยายามผลักดันให้ทอมออกไปทำตามความฝันในฐานะสถาปนิกอยู่เสมอ พยายามให้เขาสเกตช์ภาพตึกให้ดู หรือรู้สึกดีใจเมื่อทอมลาออกจากงานเขียนคำอวยพรมาเอาจริงเอาจังกับงานสถาปนิก เธออยากเห็นเขามีความสุขในฐานะเพื่อนคนหนึ่งแค่นั้น
สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ระหว่างทอมกับซัมเมอร์ยังคงเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่น่าหลงใหล เพราะไม่ว่าเราจะเติบโตขึ้นอีกกี่ปี ก็ยังคงไม่อาจตัดสินได้เลยว่ารักครั้งนี้ใครเป็นคนถูกผิด มีแต่เราเองที่จะโอนเอนเปลี่ยนไปอยู่อีกฝั่งเมื่อเรามีอายุมากขึ้น
ทางฝั่งนักแสดงอย่างซูอี้และโจเซฟก็มีอาการแบบนี้เช่นกัน ทั้งคู่มักจัดงานเพื่อพูดคุยถึงหนังเรื่องนี้ในมุมมองของตัวละครที่พวกเขาแสดง
“พวกเราคิดว่ามันคงจะสนุกถ้าได้ทำ 500 Days of Tom บ้าง หนังเรื่องนี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของทอมโดยตลอด ดังนั้น หากมันถูกเล่าในมุมมองของซัมเมอร์บ้าง พวกเราคิดว่าน่าสนใจดีนะ”