หลังความตาย เราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

เป็นบ่ายที่ร้อนอบอ้าว พัดลมเพดานทำงานเต็มกำลังในห้องกว้างที่เตียงผู้ป่วยตั้งเรียง แต่ถึงอย่างนั้นความร้อนผ่าวก็ยังหอบตัวเคลื่อนหมุนไปทั่วห้อง กลิ่นโรงพยาบาลที่มีลักษณะเฉพาะโชยชัด น้ำยาฆ่าเชื้อเย็นจมูกแต่ไม่หอม กลิ่นยาเม็ดที่รู้สึกได้ถึงรสขมเฝื่อน กลิ่นผ้าปูเตียงที่ผ่านการใช้งานซักซ้ำจนเป็นสีอมเหลือง และกลิ่นกายของคนเจ็บป่วย

        ฉันเดินไปถึงข้างเตียงที่แม่นอนอยู่ ก้มหอมแก้มแม่ แม่เป็นผู้หญิงที่ตัวหอมอยู่เสมอ แต่พอต้องนอนโรงพยาบาลนานวัน ก็เหมือนกลิ่นโรงพยาบาลจะติดตามตัวแม่ไปด้วย

        แม่เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด ระหว่างไถ่ถามอาการกัน เสียงสวดมนต์จากเตียงฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น ฉันหันมองตามเสียง เห็นร่างไม่ไหวติงอยู่บนเตียง กลุ่มคนที่ห้อมล้อมขยับปากขมุบขมิบเป็นคำสวด แล้วพยาบาลก็เลื่อนม่านบังตาจนรอบ บุรุษพยาบาลเข็นเตียงขนาดเล็กตามเข้าไป นอกจากเสียงสวด ฉันไม่รู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นหลังม่านทึบ สักพักจึงได้ยินใครคนหนึ่งเรียกใครอีกคนให้กลับบ้านไปด้วยกัน แล้วร่างแน่นิ่งที่ถูกคลุมมิดหัวมิดเท้าด้วยผ้าสีขาวตุ่นก็ถูกเข็นออกจากม่าน เคลื่อนผ่านหน้าฉันไป

        “โรงพยาบาลอาจสอนสัจธรรมแก่เราได้ดีกว่าวัดเสียอีก” คนรักบอก หลังจากฉันเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง

 

        ความตายคือความเสมอภาค ต่างกันก็แค่วาระ และฉันไม่เคยกลัวที่จะพูดถึง กลับกัน ฉันมักคิดถึงชีวิตหลังความตายอยู่บ่อยครั้ง คำว่า ‘ชีวิตหลังความตาย’ ของฉันในที่นี้ หมายถึงทั้ง ‘ชีวิตของคนที่ยังต้องอยู่ต่อไป’ และ ‘ชีวิตของคนที่ตายจากไปแล้ว’

        การตายของป้าเมื่อปลายปีที่ผ่าน การผ่าตัดใหญ่ของแม่ การเข้าออกโรงพยาบาลของพ่อ ยิ่งสะกิดเตือนให้ฉันนึกถึงชีวิตที่ไม่มีพ่อและแม่แล้วบ่อยขึ้น การจากลากระเถิบเข้าใกล้มาทีละนิด หรืออาจหายใจรดต้นคออยู่ก็ได้ ในบางคืน ฉันยังเคยคิดถึงขั้นว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่มีคนข้างๆ อยู่ข้างกันอีกต่อไปแล้ว หลังความตายของคนที่ฉันรัก ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไร

        สิ่งที่ฉันคิดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ รู้ว่าหนทางเดียวที่มีอยู่คือใช้เวลาร่วมกับคนที่ฉันรักอย่างเต็มที่ กับคนข้างๆ เราดูแลกันเป็นปกติดีอยู่ แต่กับพ่อแม่ ฉันออกจะชะล่าใจ ตั้งแต่แยกออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง ฉันก็กลายเป็นคนห่างบ้าน เจอพ่อแม่ไม่บ่อยนัก เลื่อนนัดก็บ่อยไป ไม่นานนี้ที่ได้มองใบหน้าของสองคนอย่างเต็มตา เขาแก่ลงกันมาก วูบนั้นทำฉันรู้สึกใจหาย

        วันนั้นย่อมมาถึงเป็นแน่แท้ วันที่ฉันต้องเรียกพ่อและแม่ให้กลับบ้าน วันที่ไม่เหลือโอกาสให้ฉันเลื่อนนัดผัดวันอีกต่อไป

        แต่ใครจะไปรู้ ฉันอาจกลายเป็นฝ่ายที่พ่อแม่ต้องเรียกกลับบ้านก่อนก็ได้

 

        ไม่กี่เดือนมานี้ ฉันรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายที่อาจกลายเป็นโรคร้าย ประโยคหนึ่งแวบวาบเข้ามาเป็นระยะในการใช้ชีวิตตามปกติของฉัน

        หากวันนี้ฉันป่วย หากวันหนึ่งฉันตาย…

        ตายก่อนที่หมอจะได้บอกว่าป่วยเป็นอะไร อาจแค่ฉันเดินข้ามถนนหน้าบ้าน

        ก็บทโลกจะพรากชีวิตใครขึ้นมา เขาไม่ได้ส่งสัญญาณล่วงหน้าให้ตั้งตัวเสมอไป อาจนาทีนี้หรือนาทีหน้า เราต่างเป็นใบไม้แกว่งไกวบนต้นแห่งสังสารวัฏ เพียงขั้วเล็กๆ เชื่อมต่อกิ่งก้านใหญ่ ลมพัดแรงมาวูบเดียวก็ปลิดขั้วขาดได้ง่ายๆ แล้วเราก็ร่วงหล่น หมุนคว้าง ทิ้งร่างกลับลงสู่ดิน

 

        เมื่อต้นเดือน ฉันตัดสินใจไปโรงพยาบาล ขณะนั่งรอพบหมอ ก็เริ่มไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าที่ไม่กลัวการพูดถึงความตายหมายถึงไม่กลัวตายด้วยหรือไม่ แต่การเจ็บป่วยที่เกิดกับตัวในครั้งนี้เหมือนมือที่ยื่นมาเขย่าตัวฉันเบาๆ ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า Peaceful Death (การพร้อมเผชิญความตาย) อย่างจริงจังขึ้นมา เคลื่อนนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์ เสิร์ชอ่านเรื่องนี้กระทั่งได้ยินพยาบาลขานชื่อ

        ฉันอาจกลัวตายอยู่บ้างล่ะค่ะ แต่ที่ยิ่งกว่าคือกลัวความทุกข์ทรมานก่อนตาย หากชีวิตดับสิ้นอย่างการชักปลั๊กได้ก็คงดี ไม่มีเจ็บปวด ไม่มีทุรนทุราย ส่วนตายแล้วไปไหนนั้น เป็นคำถามที่ฉันไม่ค่อยทุกข์ร้อนสักเท่าไรนัก ฉันเชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง แต่ก็ไม่ใช่ในรูปของสวรรค์ที่มีเทวดานางฟ้าหรือนรกที่มีกระทะทองแดง กลับรู้สึกถึงดินแดนที่ผุดผ่องยิ่งกว่าและไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย

        อีกความเชื่อหนึ่งที่ฉันมีต่อความตายคือเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ตั้งแต่เด็กแล้วที่ฉันมีความรู้สึกลึกๆ ว่าทุกคนที่เข้ามามีสายสัมพันธ์ร่วมกัน เราไม่ได้เพิ่งพบกันในชีวิตนี้ แต่ก็ไม่ใช่การกลับมาเพื่อชดใช้กรรมในแบบที่ชาติก่อนเราไปตีเขา ชาตินี้เขาจึงตีเราบ้าง แล้วจบกันไป ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีเหตุและผลที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น

        แต่ในวัยนั้น การเกิดการตายเป็นแค่เรื่องที่เพียงสอดแทรกในวิชาพุทธศาสนา แถมครูยังให้ท่องจำประวัติพระภิกษุองค์สำคัญมากกว่าจะสอนให้เข้าใจในธรรมชาติของชีวิต อีกทั้งยังไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือแหล่งข้อมูลใดให้หาความเป็นเหตุเป็นผลมารองรับความรู้สึกลึกๆ อันไร้ที่มานี้ ฉันจึงเก็บความเชื่อนั้นไว้กับตัวเงียบๆ กระทั่งโตขึ้น ได้อ่านหนังสือหรือบทความที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่าอดีตชาติ (Past Life) การกลับมาเกิด (Reincarnation) โชคชะตา (Destiny) จิตอิสระ (Freewill) คู่แท้ (Soul Mate) หรือกฎแห่งกรรม (Law of Karma) ที่ไม่ใช่การเอาคืน ฉันอ่านเรื่องเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น เริ่มอธิบายสิ่งที่ตัวเองรู้สึกได้ และไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนความเชื่อที่มีอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว

 

        สำหรับฉัน โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ดวงวิญญาณ (Soul) ของเราเดินทางผ่านรูปสังขารมาแล้วนับไม่ถ้วน เดินทางมาอย่างมีเป้าหมาย การเจอกันของคนสองคนก็มิใช่การสุ่มเลือกอย่างไร้เหตุผล ทุกการพบกันคือสาระ และเมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากก็ย่อมมีจุดประสงค์อยู่ในนั้น

        แม้ร่างกายดับลงแล้ว แต่ดวงจิต (Spirit) ของเรายังคงอยู่ รอวันและเวลาอันสมควรเพื่อกลับมาสู่โลกในกายเนื้อใหม่ มาเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นคนรัก สลับสับเปลี่ยนบทบาทกันไป เพื่อร่วมเรียนรู้ในบทเรียนอันสำคัญ เพื่อโอกาสแก้ไขในสิ่งผิดพลาด เพื่อที่จะพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงส่งยิ่งขึ้น

        หรือหากยังไม่ต้องพูดไปถึงชาติหน้าว่ามีจริงหรือไม่ อย่างน้อยความเชื่อนี้ก็ทำให้ฉันวางใจในความเป็นไปของชีวิตในชาตินี้ เมื่อถึงเวลาพบ เราก็ต้องได้พบ และเมื่อถึงเวลาจาก เราก็ต้องจาก แต่ก็ยังอุ่นใจว่าทุกการพบและจากกันนั้นย่อมมีความหมาย

        แต่การเชื่อว่าเราจะมีกันและกันอีกในชีวิตใดชีวิตหนึ่งข้างหน้า ไม่สามารถเอาเป็นมาเป็นข้ออ้างในการปล่อยปละละเลยหรือทำร้ายกันในชีวิตนี้ได้เลย เขียนถึงตรงนี้ ฉันบอกตัวเองว่าจะใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ให้คุ้มค่ามากขึ้น ทั้งกับชีวิตตัวเองและกับคนที่ฉันรัก ไม่ต้องรอให้ชาติหน้ามาถึง เพราะปัจจุบันย่อมสำคัญว่ากาลเวลาอื่นเสมอ…

 

        การผ่าตัดของแม่ผ่านพ้นไปด้วยดี ขณะที่พ่อก็รับการรักษาไปตามอาการ ส่วนฉัน หมอนัดตรวจอีกทีก็ปีหน้าโน่น แต่ก็นั่นล่ะค่ะ ปีหน้าอาจไม่มีอยู่ และพรุ่งนี้อาจไม่มีจริง

        หากวันหนึ่งเราจำต้องลากันขึ้นมา ลาฉันด้วยคำว่า “แล้วพบกันใหม่” นะคะ เพราะฉันเชื่อเช่นนั้นอย่างหมดใจ