love actually

รักก็เหมือนไฟ ต้องการ ‘อากาศ’ และ ‘ที่ว่าง’

เราอยู่ใกล้กันมากขึ้นในช่วงนี้ จะบอกว่าโลกกำลังขังเราให้อยู่ด้วยกันก็ได้ และแปลก ที่แค่รู้สึกว่าถูกขัง เราก็อึดอัดขึ้นมาหน่อยๆ

        ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เราก็อยู่กันสองคนกับหมาหนึ่งตัว

        เราไปไหนมาไหนได้ จะไปกรุงเทพฯ วันนี้เลยก็ได้นะ เอาไหมล่ะ ฉันถาม

        ถ้าเขาอยู่ในความระห่ำ เขาจะพยักหน้า แล้วบอกฉัน เก็บกระเป๋าสิ

        ขับรถไปด้วยกัน ใช้เวลาสองวันถึงกรุงเทพฯ เราไม่เคยขับเกินวันละ 500 กิโลเมตร ไม่มีความหมายใดแอบแฝงทั้งสิ้น เราเหนื่อยและเมื่อยหลัง ต้องได้นอนพักหนึ่งคืน 

        บางวันเขาถามฉัน เชียงแสนกันไหม ไปกินเสี่ยวหลงเปา

        ได้เลย ขอแต่งหน้าแป๊บ ก็… สามสิบนาที แต่งน้อยกว่านี้ไม่เป็น รอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอ (เหวี่ยงๆ ไปบ้าง จินตนาการว่าเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจ)

        เราอยู่ด้วยกันวันละ 24 ชั่วโมง มา 7 ปี ไม่ได้แฮปปี้ตลอดเวลาหรอกนะ

        ความรักมักเป็นเช่นนี้ และเราไม่อาจเลือกเฉพาะส่วนที่ดี ทั้งเราไม่มีสิทธิ์ แม้แต่จะคิดว่าความรักดีงาม ก็… ทุกครั้งที่ส่องกระจก เราเห็นความพร่อง ความเกิน ความล้นทะลัก และความอัปลักษณ์ ความรักที่ผุดขึ้นมาจากร่างในกระจก จะงดงามได้แค่ไหนเชียว

        เราอยู่ด้วยกันเพราะความรักสองชนิด หนึ่ง ความรักที่มีต่อกัน และสอง ความรักที่เรามีต่องาน ข้อสองนี่ละที่มันเปิดโอกาสให้เราใช้ชีวิตด้วยกันเสมอ ทำงานในบ้านเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน กินเหล้าขวดเดียวกัน นอนร่วมเตียงกัน… ทุกวัน

        ฉันไม่คิดว่าวิถีชีวิตเช่นนี้จะทำให้ความรักลึกซึ้งดูดดื่มกว่าคู่อื่น ฉันเพียงแต่คิด นี่คือสิ่งที่เราเลือก เราดีใจที่ได้เลือก เราเลือกที่จะทำงานที่บ้าน เราเลือกทำงานชนิดเดียวกัน มันจึงเท่ากับว่า เราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันทุกวัน

        ฉันไม่เคยรู้สึกถึงความอึดอัด ไม่ว่าเราจะอยู่ใกล้กันนานแค่ไหน

        กระทั่งช่วงนี้ เราอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป นั่นก็คือเราไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกทั้งหมด เราต้องอยู่บ้าน ต้องอยู่ห่างเพื่อน เราเดินทางข้ามจังหวัดไม่ได้จนถึงสิ้นเดือน จะไปตลาดแต่ละทีเหมือนออกรบ

        สัปดาห์แรกของการถูกขัง คนส่วนใหญ่น่าจะสบายใจกว่าเรา ได้อยู่บ้านกับครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตา ต่อให้ไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก แต่โอกาสแบบนี้มีไม่มาก

        แต่ฉันปั่นป่วนใจ เพราะมันเป็นความไม่ปกติบนชีวิตปกติ เราอยู่ด้วยกันมามากแล้ว นี่ต้องถูกขังด้วยกันอีกเหรอ

        สลัดออกไปไม่หลุด จนต้องถอยกลับไปตั้งหลัก ถามตัวเองว่า มีอะไรเปลี่ยนไปมากมายเหรอ กับตัวเธอน่ะ

        เออนะ ก็ไม่เปลี่ยนเท่าไหร่

        คิดอย่างนี้ก็เหมือนความสัมพันธ์จะกลับมาเหมือนเดิม

        ตัดคำว่าถูกขังออก เราก็อยู่ด้วยกันวันละ 24 ชั่วโมง อย่างเคยนั่นละ

        เหมือนเดิมแบบที่ต้องการความใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็ต้องการระยะห่าง ซึ่งไม่ใช่แค่ระยะทาง แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกด้วย

        สำหรับคนที่เริ่มรู้สึกว่า การอยู่ด้วยกันมันเหนื่อยจัง เริ่มน่าเบื่อ เราขึ้นเสียงใส่กันบ่อยไปแล้ว ฉันอยากให้ลองวิธีที่ฉันใช้ตลอดมา นั่นคือ—อยู่ด้วยกันราวกับว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน

        ฉันจะไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของเขานักหรอก พูดเหมือนคนไม่รักกันเท่าไหร่เลยใช่ไหม แต่ตรงกันข้ามเลยนะ การจดจ่อกับความรู้สึกของคนรัก ทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอนง่ายมาก ถ้าเขาโกรธ บางทีโกรธอะไรไม่รู้ แล้วเราโกรธด้วย มันจะลงเอยด้วยการโกรธกันเอง

        บ่อยมาก ฉันแกล้งไม่รู้ไม่เห็น รอให้เขาหาย แล้วค่อยมองหน้ากัน

        ธรรมชาติของความรู้สึกคือการเคลื่อนที่ ลื่นไหล ไม่ว่าเจ้าของจะรู้ตัวหรือไม่ จากโกรธมันย่อมเคลื่อนไป เสน่หาก็เช่นกัน

        เจ้าของความรู้สึกเองยังไม่อาจเหนี่ยวรั้งความรู้สึกได้ เราไม่ควรยึดโยงความรู้สึกของเราไว้กับเขามากนัก

        อยู่ด้วยกัน รักกัน แต่เราไม่จำเป็นต้องมัดใจสองดวงไว้ด้วยกัน ฉันทิ้งระยะห่างเสมอ แม้ใครไม่ได้สั่ง

        ฉันปล่อยให้ลมล่องผ่านหัวใจของเขา และของฉันเอง

        ไม่มองกันบ่อยขึ้น ไม่สนใจกันบ้าง ทำอะไรเองให้มากๆ แม้อยู่บ้านหลังเดียวกัน นั่นละ สิ่งที่ความสัมพันธ์ต้องการ

        ความรักคล้ายไฟ ต้องการที่ว่างและอากาศจึงจะมีชีวิต