ความรักเกิดขึ้นได้ ความไม่รักแล้วก็เกิดขึ้นได้

ฉันมีความรักของชายคนหนึ่งมาเล่าค่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนาน เรียบง่าย สุขและทุกข์ได้เท่าที่คู่รักคู่หนึ่งพึงมี เขาและเธอพบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ เรียกสองคนนี้ว่าเป็นคู่รักในฝัน ทั้งคู่เข้ากันได้ดี มีรสนิยม มีไลฟ์สไตล์ และมีจุดมุ่งหมายของชีวิตไปในทางเดียวกัน

        หลังจบการศึกษา เขาและเธอก็ช่วยกันทำงานสร้างฐานะ แต่งงาน ซื้อบ้านหนึ่งหลัง และมีลูกในอีกไม่กี่ปีถัดมา

        “ผมมีความสุขเวลาอยู่กับเธอ และไม่คิดว่าจะรักผู้หญิงคนไหนได้มากเท่านี้อีกแล้ว”

        เขาเปล่งเสียงใส่ไมโครโฟน ท่ามกลางครอบครัว เพื่อนฝูง และแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีในคืนฉลองแต่งงาน

        “ผมสัญญาว่าจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต”

         ประโยคนี้ได้กลายเป็นเสาหลักที่ถูกยึดไว้ในชีวิตคู่

 

        คู่รักในฝันของเพื่อนๆ ยังคงเป็นคู่รักในฝัน กระทั่งความสัมพันธ์ดำเนินมาถึงปีที่ 15

        ภรรยาของเขาเปิดใจในคืนหนึ่ง บอกเขาว่าเธอรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ค่อยๆ เปลี่ยนจนรู้สึกได้ และเธอไม่อาจเก็บกลั้นความสงสัยอีกต่อไป

        “คุณมีคนอื่นหรือเปล่า” เธอถาม

        เขาตกใจ อะไรที่ทำให้ภรรยาสงสัยเช่นนั้น

        “คุณไม่เหมือนเดิม”

        เธอร้องไห้ พรั่งพรูความอัดอั้น นั่นทำให้เขาเริ่มทบทวนตนเองทีละน้อย

        “ผมจะแก้ไขให้ดีขึ้น” เขานึกถึงคำสัญญาในวันแต่งงาน ปลอบเธอ สวมกอดหลวมๆ แล้วบอกว่าควรนอนกันได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นสาย

 

         หลังคืนนั้น เขาพยายามหาเหตุผลมารองรับ ‘การเปลี่ยนไป’ ของตัวเอง

        เขาคงคิดเรื่องงานเต็มหัวจนเกินไป จึงคุยกับเธอในเรื่องจิปาถะน้อยลง

        เขาคงคิดว่าภรรยาน่าจะเข้าใจ หากไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกันสองต่อสอง เพราะลูกกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต และเขาอยากใช้เวลาของครอบครัวให้มากที่สุด

        เขาเริ่มตัดสินใจในเรื่องสำคัญของชีวิตเพียงลำพัง เพราะคิดว่าภรรยาก็น่าจะมีเรื่องที่ต้องคิดอยู่เหมือนกัน

        เขาไม่โทร.หาหรือส่งข้อความถึงเธอในระหว่างวันเหมือนแต่ก่อน เพราะคิดว่าหลังเลิกงานก็จะได้เจอกัน

        เขาขอไม่ไปรับไปส่งเธอที่ทำงานเหมือนเคย เพราะรถไฟฟ้าตัดผ่านออฟฟิศของเธอแล้ว ซึ่งเดินทางได้รวดเร็วและดีกว่าทนรถติดอยู่บนถนน

        แต่สำหรับภรรยา เหล่านี้คือความผิดปกติที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ เธออยากได้คนรักคนเดิม

 

        เขาพยายามกลับไปเป็นคนเก่า พยายามชวนภรรยาคุยเมื่อร่วมมื้ออาหาร พยายามถามว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ พยายามไปไหนมาไหนกันสองคนในวันที่ลูกไปอยู่บ้านปู่ย่า พยายามส่งข้อความหาเธอโดยตั้งเวลาเตือนในโทรศัพท์ พยายามฝ่ารถติดไปรับเธอที่ทำงาน พยายามทำหน้าที่ของสามีให้บ่อยและดีขึ้น

        เขา ‘พยายาม’ กลับมาเป็นคนเดิมอยู่เกือบปี เพื่อพบว่าบางเรื่องที่เคยทำแล้วเป็นสุข วันนี้กลับรู้สึกไม่เป็นสุขเสียแล้ว บางอย่างที่เคยเต็มใจทำก็กลายเป็นทำเพราะหน้าที่ แล้วคืนหนึ่งก็เป็นฝ่ายของเขาบ้างที่ระเบิดออกมา คืนที่ความพยายามของเขาสิ้นสุดลง

        ไม่เกี่ยวกับงาน ไม่เกี่ยวกับลูก และไม่ใช่เพราะเขามีใครอื่น

        คืนนั้นที่ชัดเจนแล้วกับตนเอง เขาเลือกสารภาพ

        เธอทวงถามเขา ไหนว่าจะรักกันไปตลอดชีวิต ต่อว่าเขา ทำไมวันขอเธอแต่งงานกันจึงหลอกกันว่ารัก

        เขาบอกว่าไม่เคยคิดหลอกเธอ ไม่มีใครหลอกว่ารักใครได้มายาวนานเป็น 10 ปีเช่นนี้ และวันนั้น เขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่แล้วในวันนี้

 

        ‘ปราย พันแสง (นักเขียนที่ฉันอ่านงานมาตั้งแต่เด็ก) โพสต์ในเพจของเธอไว้นานมากแล้วว่า “ความรักเป็นพลวัต (dynamic) ไม่ใช่เป็นสุสานความรู้สึก มันจึงยังเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ” ซึ่งฉันเห็นด้วย ฉันจึงไม่ค่อยแปลกใจหรือตกใจเท่าไหร่ เวลาเห็นคู่รักที่คบหากันมายาวนานนับทศวรรษเลิกรากัน แบรด พิตต์ และ แองเจลินา โจลี คู่รักก้องโลกที่ใช้ชีวิตคู่สุดเพอร์เฟ็กต์มาเกินสิบปีก็ยังเลิกกันได้ หรือคู่รักมาราธอนที่ต้องเลิกกันไปก็มีอยู่ถม แต่เราๆ ที่เป็นคนนอกไม่มีทางรู้หรอกว่าอะไรที่สามารถทลายความสัมพันธ์ที่น่าจะยั่งยืนเหล่านั้น

        ทุกการเลิกราย่อมมีเหตุผล ไม่ว่าจะเพิ่งคบกันมาไม่กี่ปีหรือเนิ่นนานหลายปี บางเหตุผลอาจสลับซับซ้อน บางเหตุผลอาจยอมรับได้ยาก แต่บางเหตุผลก็ง่ายๆ แค่ไม่มีความรักให้กันอีกต่อไปแล้ว

        ในธรรมชาติของความรู้สึกรัก หากไม่สามารถบังคับให้รัก ก็ย่อมบังคับให้ไม่หมดรักไม่ได้

 

        ผู้ชายที่ฉันเล่าถึง เขายอมรับว่าหมดรักภรรยาแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลรองรับอื่นใด

        เขาและเธอจึงตัดสินใจหย่ากัน ยุติสถานะสามีภรรยา ขณะที่ยังทำหน้าที่พ่อและแม่ของลูกได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนที่ยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่ อดีตภรรยาของเขาถึงกับเอ่ยออกมาว่า การที่เขายอมรับว่าหมดรักแล้ว ถือเป็นความกล้าหาญที่ช่วยปลดปล่อยให้เธอไม่ต้องจมจ่อมอยู่กับความคลุมเครือในชีวิตคู่ และเป็นการส่งเธอไปสู่โอกาสใหม่ หลังหย่าได้สามสี่ปี เธอได้พบรักอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็สอนให้เธอละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นในรักยืนยง ส่วนเขายังไม่มีใคร แต่สบายใจกว่าช่วงปีที่พยายามฝืนตัวเองให้กลับไปเป็นคนเก่า เพื่อรักษาชีวิตสมรสที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้ และหากมีรักใหม่ เขาจะไม่สัญญาในสิ่งที่ไม่อาจการันตีว่าจะจีรังอีกแล้ว

 

        ‘ความรักเกิดขึ้นได้ ความไม่รักแล้วก็เกิดขึ้นได้’

        บางที เรื่องมันก็เข้าใจได้ง่ายเช่นนั้น