รักไม่มีความพอดี

รักไม่มีความพอดี ไม่มีตรงกลาง

ฉันเปลี่ยนไปมาก…

        การยอมรับจำเป็น และถ้าไม่ใช่ปัญหา ก็โชคดีไป ถ้าเป็นปัญหา เราจะได้เริ่มต้นแก้ไข-ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย

        ปีแรกของเรา อยู่บ้านฉันยังโบกรองพื้น ทาลิปสติก เขียนคิ้ว ปัดแก้ม บางวัน แถมปัดขนตาด้วย – ย้อนกลับไปคิด ยังแซวตัวเอง ขยันล้างหน้ามากนะเธอ

        ปีที่สอง ฉันแต่งหน้า (ฉบับย่อ) ต่อเมื่อออกจากบ้าน เช่น ไปตลาด ไปห้างสรรพสินค้า

        ปัจจุบัน หลังอยู่ด้วยกันมา 7 ปี เพิ่มสมาชิกหมาอีก 1 ชีวิต ฉันเปลือยหน้าตลอดเวลา ยกเว้นต้องไปในที่ซึ่งมีคนรู้จัก

        ในแง่เศรษฐกิจ ไม่ได้ดีขึ้น เพราะฉันยังซื้อเครื่องสำอาง (ของมันต้องมี) ฉันยังบำรุงหน้าอย่างเข้มข้น แต่ฉันเริ่มรู้สึกว่า 15 นาทีในการแต่งหน้า กับอีก 5 นาทีของการล้างเครื่องสำอาง ซึ่งรวมกันแล้วเป็น 20 นาทีโดยประมาณนั้น ฉันควรใช้ทำอย่างอื่น

        ฉันพูดน้อยลงด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ มันสูญเปล่ากับบางเรื่องที่เขาควรเข้าใจ (หวังว่า) และหากต้องพูด ฉันก็ฟาดไม่ยั้งอย่างตรงไปตรงมา และไปให้สุดขอบเขตของการสนทนา

        อย่างที่เรารู้กันดี ภาษาหรือคำมักบิดพลิ้วด้วยประสบการณ์ทางความรู้สึกของเรา ด้วยน้ำเสียงของเรา บางครั้ง เราต้องการบอกว่า A แต่เขาเข้าใจว่า C

        ความเข้าใจผิดซ้ำซากเกิดขึ้นในความรัก เพราะที่บิดความหมายของคำได้อย่างไม่เหลือรูปทรงเดิมก็คือความคาดหวังของเรา

        สมมติว่าเพื่อนไปตลาดกลับมาพร้อมลูกชิ้นสองไม้ ฉันแอบกินไปหนึ่งไม้ เพื่อนอาจเหวี่ยง แกกินของฉันทำไม

        ฉันก็แค่ยักไหล่ แล้วไง ฉันจะกิน

        กับคนรัก ฉันย่อมหวัง – หนึ่งในสองไม้เขาซื้อมาเผื่อฉัน ซึ่งบางครั้งมันก็ใช่ และบางครั้งก็ไม่ใช่ ถ้าฉันถาม ลูกชิ้นของใคร เขาอาจตีความตรงตามตัวอักษร หรืออาจตีความว่า ฉันโยนคำถาม โดยคาดหวังคำตอบ

        เรื่องง่ายๆ แบบนี้ล่ะเป็นเรื่องซับซ้อนในชีวิตประจำวัน และไม่ใช่เรื่องเดียวเสียด้วย

        การอยู่ร่วมกันต้องการรายละเอียด ความเข้าใจในรายละเอียด สำคัญพอๆ กับความรู้สึกที่เรามีให้กัน

        รายละเอียดเล็กจ้อยถูกโยงไปสู่เรื่องใหญ่ได้เสมอ บ่อยๆ ที่ฉันรู้สึกว่าการสื่อสารกับคนอื่นง่ายกว่าการสื่อสารกับคนรัก

        ยากขึ้นทีละนิด ทีละส่วน แตกต่างกับครั้งเริ่มรักที่อะไรๆ ก็ดูเป็นไปได้ ดูดีไปเสียหมด

        ความรักทำให้เราเห็นความง่าย ความงดงาม แต่ความสัมพันธ์ต้องการความจริง

        แรกรัก ฉันเห็นแต่ฟ้าใสๆ วันสวยๆ ฉันทุ่มเททุกอย่างให้คนรัก ฉันนอนน้อย (ตื่นเต้น) กินน้อย (อิ่มใจ) ผลที่ได้ก็คือ ฉันมีความสุขมากมาย แต่ผอมลง ดูเหนื่อย แถมสวยน้อยลง เพราะดูแลตัวเองน้อยกว่าดูแลคนรัก

        เมื่อความรักเข้าที่เข้าทาง ฉันกลับมาปรนเปรอตัวเอง ซึ่งดูคล้ายฉันดูแลเขาน้อยลง เขาย่อมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง

        จึงมักได้ยินประโยคทำนอง ฉันไม่ค่อยเหมือนเดิม ไม่เหมือนตอนเจอกันแรกๆ

        ฉันไม่โกรธ ไม่น้อยใจ เพราะเป็นเรื่องจริง

        ฉันไม่อาจเหมือนเดิม เช่นเดียวกับห้วงเวลาแรกรักที่ผ่านพ้น ไม่อาจหวนคืน

        รักของฉันไม่เคยพอดี เพราะมันเริ่มต้นด้วยความมากมาย ล้นเกิน ครั้นเริ่มมีสติ ถอยออกมาหน่อย จึงดูเหมือนมันน้อยไป ธรรมชาติของฉันเป็นเช่นนี้ ซึ่งอาจเหมือนใครอีกหลายคน ต้องไปให้สุดทาง ต้องได้รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น แล้วถ้ามันเหนื่อยไป (มักเป็นอย่างนั้น) ค่อยเดินย้อนกลับมา

        ฉันเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ฉันยิ่งเปลี่ยนเขาไม่ได้ และยากมากที่จะหาตรงกลางระหว่างเรา

        แต่เพราะเราแน่ใจในความรัก เรามุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ ไม่ว่ากับเรื่องใด ฉันจึงพยายามมองแล้วมองอีก พิจารณาจนแน่ใจว่าได้เห็น

        การค้นหาความจริงน่าจะง่ายกว่าความพอเหมาะ เพราะคำว่าพอดีของคนสองคนก็เหมือนจุดสองจุด

        คลาดเคลื่อนกันร่ำไป