หมาดื้อ

Love Actually: ถ้ามันเป็นหมาดื้อ ฉันก็จะรักหมาดื้อหมดใจ

เสียงฝีเท้าขึ้นบันได เสียงเขาสั่ง “นั่ง”

        หมายถึงต้องเตรียมตั้งรับ ฉันนั่งนิ่ง กอดอก ตามองบน พยายามไม่ชายตาไปทางประตู – แม้หางตา แต่ถึงอย่างนั้น ท้าวฮุ่งก็ยังสะบัดหางพรึบพรั่บ พุ่งมาหาฉัน

        มองบน ฉันต้องมองบน ตำราบอกไว้อย่างนั้น

        ฮุ่งวิ่งวนรอบตัวฉันสามรอบ วิ่งไปหน้าห้องนอน หมุนตัวกลับ วิ่งกลับมาหาฉัน แล้ววิ่งกลับไปหน้าห้องนอน พุ่งกลับมาหาฉัน (ผู้พยายามมองบน)

 

        ทุกครูฝึกบอกว่า เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมหมาได้ด้วยความนิ่ง ทำเป็นไม่สนใจ แล้วหมาจะปรับตัวเอง

        คราวนี้ฮุ่งวิ่งแบบควงตัวเป็นลูกข่างบนที่นอน ฉันนับรอบไม่ทัน กระทั่งฮุ่งเหนื่อย จึงเดินมานั่งข้างเก้าอี้ จ้องตาฉัน

        ฮุ่งกัดผ้าห่มขาดไปสองผืน ผ้าปูที่นอนสองพื้น เสื่ออย่างดีอีก 3 ผืน ตั้งแต่เราได้ฮุ่งมา บ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่บ้านของเราอีกต่อไป กลายเป็นบ้านของเรากับโกลเดนรีทีฟเวอร์พลังงานสูง (กว่าปกติหน่อย) เจ้าหมาจอมทำลายล้าง หมาที่มีแววตาพร้อมบวก

        ท้าวฮุ่งไม่ยอมไปไหน จนกว่าฉันจะเกาคางให้ ไม่ใช่สองสามที แต่เกาติดต่อกันราว 5-10 นาที ท้าวฮุ่งจึงพอใจ

        ใช่หมาตัวที่เราอุ้มจากฟาร์มเหรอ หมาที่เราเลือกแล้วเลือกอีก เลือกจนแน่ใจว่าอ่อนแอสุด อ่อนหวานที่สุด ขี้อ้อนสุดๆ

        หลังจากหมาตัวเดิมของเราตาย ฉันตั้งใจจะไม่เลี้ยงหมา มันเจ็บปวดที่รักษาชีวิตหมาไว้ไม่ได้ ทั้งทรมานด้วยความคิดถึง แต่ความจริงคือ ต่อให้ไม่มีหมา ความรักก็ไม่หายไป ตรงกันข้าม รักยิ่งแสดงตัว ฉันเล่นกับหมาทุกตัวที่เจอ อาบน้ำให้หมาบ้านข้างๆ เวลาขับรถเข้าซอย เห็นขนสีทองเป็นไม่ได้ ฉันขอร้องให้เขาจอด กี่ครั้งไม่เคยนับ ฉันนั่งลูบหัวหมาของคนอื่น กระทั่งวันหนึ่ง ฉันเห็นตอไม้เป็นหมา แถมบอกให้เขาจอด

        ไม่ไหวแล้ว ฉันตัดสินใจจองลูกหมา และขอไปเลือกด้วยตัวเอง เรามีโอกาสเลือกก่อนใคร เพราะเราจองเป็นคนแรก

        ลูกหมาอายุครบ 30 วัน ฉันขับรถร้อยกว่ากิโลเมตร เพื่อค้นหาท้าวฮุ่ง

 

        เราตั้งชื่อหมาก่อน หมาของเราต้องเป็นตัวผู้ สีขนอ่อน ดูคล้ายหมาตัวเดิมของเรามากที่สุด

        ตอนที่ฉันไปถึงฟาร์ม ฉันเห็นลูกหมา 10 ตัวพร้อมกัน ทุกตัวดูซน ดูแก่น มีแต่ท้าวฮุ่งที่นั่งตรงมุมจ้องตาฉัน

        ฉันเดินเข้าไปใกล้ เรียก “ท้าวฮุ่ง” ลูกหมาทุกตัวกระโจนมางับมือฉัน เว้นเสียงแต่ท้าวฮุ่ง (ตัวจริง) ท้าวฮุ่งค่อยๆ เดินมา ต้วมเตี้ยม เตาะแตะ และอย่างกล้าๆ กลัว ท้าวฮุ่งเลียนิ้วมือฉัน

        ฉันอุ้มลูกหมาตัวนั้น ขานชื่อซ้ำ “ท้าวฮุ่ง”

        ลูกหมาจ้องตาฉัน ก่อนซบหน้าลงกับอก

        “คิดว่าตัวนี้ล่ะ” ฉันบอกเขา บอกเจ้าของฟาร์ม

        เรายังมีเวลาเลือก มีเวลาตัดสินใจอีก 15 วัน เจ้าของฟาร์มบอกว่า วันที่ฉันมารับ ลูกหมาทุกตัวจะเปลี่ยนไปเยอะมาก ฉันเลือกตัวใหม่ได้

        ถึงวันรับท้าวฮุ่งกลับบ้าน ลูกหมาทุกตัวโตขึ้นมาก หน้าก็เปลี่ยน แต่ฉันยังอุ้มตัวเดิมออกจากพี่น้องของมัน ฉันอุ้มท้าวฮุ่งด้วยมือเดียว พอขึ้นรถ ฉันเอาหมอนลูกใหญ่วางบนตัก วางท้าวฮุ่งบนหมอน “กลับบ้านเรานะ” ฉันบอก

        ท้าวฮุ่งหลับสนิทโดยหนุนแขนฉัน ตั้งแต่ไชยปราการจนถึงเชียงราย

 

        ลูกหมาอ่อนแอ อ่อนหวานที่ฉันเลือกมา กลายเป็นหมาโคตรซน โคตรดื้อตัวนี้ได้อย่างไร

        บางคนบอกว่า ฉันไม่ได้เลือกหมา หมาต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกฉัน ทำให้ฉันรัก ทำตัวเองให้น่าสนใจ เพราะอยากอยู่กับฉัน

        แต่ฉันคิด เป็นไปได้ ที่เราต่างเลือกกันและกัน เราเลือกตัว (คน) ที่เรารัก โดยวาดฝันว่าเขาจะเป็นใครคนนั้น ซึ่งเขาไม่ได้เป็น เราได้รู้ ในเวลาต่อมา

        แต่เราก็ยังรัก มากด้วย

        ท้าวฮุ่งไม่เหมือนหมาตัวเดิมสักนิด ไม่เป็นแบบที่ฉันหวัง แต่ฉันก็ยอมรับมัน อย่างง่ายดาย โดยทันที ใช่ ถ้ามันเป็นหมาดื้อ ฉันก็จะรักหมาดื้อหมดใจ

        ทุกทีไป – กับความรัก ฉันพยายามเลือกแล้วนะ แต่ผลลัพธ์เหมือนไม่ได้เลือก อย่างกับว่าฉันผลีผลามรัก รักง่าย รักไม่ยอมหน่าย แถมยังอดทนเก่ง