ความสัมพันธ์ที่ควรค่า

ความสัมพันธ์ซึ่งควรค่าต่อการอุทิศ

มองรอยสักที่แขนหมอ บอกตัวเองว่า ฉันต้องตื่นมาเห็นรอยสักของวิสัญญีแพทย์คนนี้อีกครั้ง นั่นเป็นความทรงจำก่อนปิดเปลือกตา ฉันหลับอย่างไม่เคยหลับ ปลุกไม่ตื่น ไม่เจ็บปวด ไร้ซึ่งความฝัน

        สำหรับฉัน การวางยาสลบต่างจากความตายก็แค่… เรายังหายใจ

        ฉันไม่เคยถูกทำให้หลับ แรกๆ ฉันกลัวจะไม่ตื่น แต่ครั้นตื่นขึ้นมา ฉันกลับรู้สึก-มันสบายดีจังที่หลับไปแบบนั้น ยาสลบได้ปลดปล่อยฉันออกไปเสียจากชีวิต-อย่างชั่วคราว

        ลืมตาตื่นในห้องพักฟื้น ดูนาฬิกา อา… หนึ่งชั่วโมงเต็มที่ฉันเหลือเพียงลมหายใจ

        เจ้าหน้าที่เห็นฉันตื่น เขารีบลุกมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง

        เขานั่งตรงนั้นเพื่อรอฉันตื่น-อย่างนั้นหรือ การตื่นของฉันอยู่ในความรับผิดชอบของวิสัญญีแพทย์และเขาสินะ

        ช่างบอบบางนัก ความเป็น ความตาย คล้ายเสี้ยววินาทีที่เราพลิกกระดาษ

        “ขอน้ำดื่มสักแก้วได้มั้ยคะ” ฉันบอก

        เจ้าหน้าที่ปรับหัวเตียงสูงขึ้น ส่งน้ำให้ฉัน

        นี่ละชีวิต ชีวิตคือการได้ดื่มกิน ฉันฟื้นขึ้นมาจากความตายชั่วคราวแล้ว ไม่ว่าผลการตรวจจะเป็นอย่างไร ฉันจะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า

        ฉันอยากเดินลงไปข้างล่าง แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าฉันต้องนอนอย่างน้อยสี่สิบห้านาที เพื่อเขาแน่ใจว่ายาสลบไม่มีผลต่อร่างกายฉัน

        นอนนิ่ง 45 นาที โดยไม่มีหนังสือและโทรศัพท์ ฉันจึงจมอยู่กับห้วงความคิดของตัวเอง

        คนรักของฉันบอกว่า เขาจะมารอรับตั้งแต่ 11.00 น. ไม่ว่าฉันจะส่องกล้องเสร็จหรือไม่

        จริงๆ แล้ว ฉันชอบมาโรงพยาบาลคนเดียว ถ้าฉันยังสามารถมาคนเดียวได้ ก็ไม่ควรมีใครเสียเวลามานั่งรอ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันขอให้เขากลับบ้าน

        “ไปอยู่กับฮุ่งเถอะ ไม่รู้ว่ามันจะสะบัดหูมั้ย ไม่รู้ว่านิสัยกัดเสื่อกินของมันหมดไปแล้วจริงๆ หรือยัง” ฉันบอกคนรัก เมื่อเขามีทีท่าไม่อยากกลับ

        ท้าวฮุ่ง-หมาของเรา น่าเป็นห่วงกว่าฉันตรงที่มันพูดไม่ได้ และเราห้ามมันไม่ได้ หูของท้าวฮุ่งมีผื่นแดงจากอาการแพ้อะไรสักอย่าง กำลังอยู่ระหว่างการรักษา ถ้าเกิดคันขึ้นมามากๆ มันอาจสะบัดหูจนหูบวม เกิดปัญหาใหญ่กว่าตามมา

        เขาตามใจฉัน (เช่นเคย) โดยยืนยันว่า 11.00 น. เขาจะมา เขาอยากเจอฉัน ตอนที่ฉันตื่น และเขาจะรอฟังผลกับฉัน

        ความอ่อนหวานท่ามกลางความหวาดกลัว เหมือนดอกไม้ดอกน้อยในทุ่งหญ้าอันแห้งแล้ง

        เราคบกันมา 8 ปี ฉันยอมรับว่า ฉันอุทิศตนเพื่อเขาน้อยลง ต่างจากปีแรกที่เรารักกัน

        ฉันดูแลเขา แต่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคำว่าอุทิศ ฉันทำอาหาร ซักรีดเสื้อผ้า เก็บเตียง แต่ฉันจดจ่อกับเรื่องอื่นมากกว่า งานเขียน งานบ้าน ท้าวฮุ่ง รวมทั้ง Youtube และ Netflix

        ฉันแค่อยู่เคียงข้างเขา กินข้าวกับเขา นอนกับเขา แต่เขาควรได้รับมากกว่านั้น

        ตื่นขึ้นมาครั้งนี้ ฉันได้ชื่นชมชีวิตอย่างแท้จริง ฉันพบว่า ไม่มีสิ่งใดหรือใครล้ำค่าไปกว่าคนที่อยู่เคียงข้างมา 8 ปี

        ขณะเรามีความสุข ประสบความสำเร็จ หรือสนุกสนาน มีคนมากมายที่พร้อมร่วมความรู้สึกกับเรา แต่ในยามเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย เราเหลือกี่คน

        ฉันมีเพียงหนึ่ง ตลอดหลายสิบปีของชีวิต ฉันเหลือมือหนึ่งคู่ ซึ่งแม้ฉันไม่เคยลืม แต่ก็เอาแต่พุ่งไปข้างหน้า โดยใส่ใจน้อยลง

        พนักงานคนเดิมเดินมาปลดสายน้ำเกลือให้

        โอเค ฉันจะได้ออกไปจากห้องนี้ และสวมเสื้อผ้าของฉันแล้ว

        ฉันมั่นใจว่าเดินได้ แต่เขายังกลัวว่าฉันจะเมายาสลบ ฉันจึงต้องนั่งรถเข็นลงลิฟต์

        “รอฟังผลที่หน้าห้องคุณหมอนะครับ”

        ฉันได้ยินอย่างนั้น และฉันก็พยักหน้า

        ดวงตาจับจ้องร่างสูงที่ยืนรออยู่ สายตาของฉันสั้น 220 แต่ฉันรู้ว่านั่นคือเขา

        มนุษย์ผู้เคียงข้างฉันมา 8 ปี แทบไม่เหลือความโรแมนติก แต่ความโรแมนติกไม่ใช่แก่นสารของเรา

        ขณะรถเข็นเคลื่อนไปใกล้เขา ฉันก็รู้-ความกลัวทั้งหมดของฉัน คือความกลัวที่จะไม่ได้เจอเขาอีก ฉันไม่อาจทอดทิ้งเขา โดยเฉพาะในยามนี้

        เขายิ้ม  “เป็นยังไงบ้าง”

        จ้องลึกลงในลูกตาสีน้ำตาลเข้ม บอกตัวเองว่า จงอุทิศเวลาเพื่อเขา อาจไม่ใช่ทุกวัน ทุกนาที แต่ควรมีเวลาเช่นนั้น เหมือนปีแรกๆ ที่เราอยู่ด้วยกัน

        “ท้าวฮุ่งเป็นยังไงบ้าง ขี้หูเยอะมั้ย” ฉันถาม

        เขาหัวเราะ “มันมองหาอยู่ หายไปไหนคนหนึ่ง”

        หมาดื้อตัวนั่นก็ด้วย สิ่งมีชีวิตที่ฉันไม่อาจทอดทิ้ง

        ฉันแตะหลังมือเขา “ดื่มกาแฟระหว่างรอหมอด้วยกันนะ”

        เฉลิมฉลองความสัมพันธ์เสียตั้งแต่นาทีนี้ เริ่มจากกาแฟก็แล้วกัน