love actually

‘ต้นหนึ่งล้มลง อีกต้นก็ไม่รู้’ เหตุผลที่เราไม่ควรพบคนรักเก่า

เราไม่ควรพบกันอีก แค่นั้นยังไม่พอ เราไม่ควรข้องเกี่ยวหรือสัมพันธ์กันเลย เราอาจอยู่บนโลกเดียวกัน และเราต่างไม่ลืม แต่เราจะเป็นเหมือนไม้สองต้นที่เติบโตอยู่บนดินคนละผืน คนละสิ่งแวดล้อม

        บางครั้งเราได้กินน้ำจากฟ้าเดียวกัน นั่นก็ช่วยไม่ได้ แต่เราจะไม่กินธาตุอาหารจากดินเดียวกัน กิ่งก้านของเราจะไม่เกี่ยวพันกัน เราจะไม่เห็นกันและกัน และกระทั่งต้นหนึ่งได้ล้มลงแล้ว อีกต้นก็จะไม่รู้

        ฉันคิดและทำแบบนั้นกับอดีตสามี

        ฉันรู้ว่ามันดีต่อเราทั้งสองคน ต่อผู้คนรอบข้าง เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ – ยอมรับเถอะ เราไม่ควรรับรู้ข่าวสารของกันและกันด้วยซ้ำ

        ไม่ได้หมายความว่าฉันยังรักเขา และไม่ได้หมายถึงฉันเกลียดหรือโกรธเขา

        ฉันไม่เหลือความรู้สึกใดให้เขาเลย แต่ความทรงจำมันล้นเกิน

        เขาคือเจ้าของช่วงเวลาแห่งวัยสาว ซึ่งหมายถึงวิธีมองโลกแสนงามของฉัน วิธีที่ฉันรัก วิธีที่ฉันสัมผัส วิธีที่ฉันดูแล ฉันไม่รู้หรอก เขาจะชอบมันแค่ไหน เขารู้สึกกับมันอย่างไร แต่เขาเป็นเจ้าของมัน

        เช่นเดียวกับที่ฉันได้เป็นเจ้าของความหนุ่ม การเริ่มต้นอันน่าตื่นเต้น ความกล้าบ้าบิ่น ความรักอิสระ ความแข็งแรงและปราดเปรียว รวมเสน่ห์มากล้นซึ่งเกิดจากส่วนผสมของเด็กหนุ่มกับผู้ชาย ทั้งหมดนั้นเคยเป็นของฉัน

        เราต่างเป็นนักสู้ เราสู้กันในบทสนทนา ในการดื่ม ในการขับรถ ในกีฬา ในการเดินทาง เราไม่เคยอ่อนข้อและถอยให้กัน

        ใช่ – รวมทั้งบนเตียง

        วัยหนุ่มสาวทำให้เราเป็นแบบนั้น ฉันเชื่อว่าเป็นเพราะวัย ไม่ใช่เพราะเรา บังเอิญที่ในวัยงามเราได้ใช้ชีวิตด้วยกัน

        เราไม่อาจจับมือเดินข้ามเวลามาสู่ความเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน เราไม่มีโอกาสโอบกอดกันและกันด้วยความเมตตา เพราะเราทำลายความสัมพันธ์ลงก่อนหน้า

        วันที่ฉันเดินจากมา ฉันกอดแม่ของเขา ผู้ซึ่งฉันรักเหมือนพี่สาว ผู้หญิงที่เข้าใจฉันมากกว่าแม่ของฉัน ผู้หญิงที่เลือกเสื้อผ้าให้ฉัน พาฉันไปทำผม และสอนฉันทำอาหาร

        ฉันน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะอาลัยอาวรณ์เขา แต่ฉันรู้สึกผิดที่ดึงผู้คนรอบข้างเข้ามาเกี่ยวโยงผูกพัน เพื่อสุดท้ายเรากลายเป็นอื่น

        เพื่อนของฉัน เพื่อนของเขา เพื่อนของเรา อาจารย์ของเขา ลูกศิษย์ของเขา ครอบครัวของฉัน ครอบครัวของเขา ซึ่งกลายเป็นของเราในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราอยู่ด้วยกัน ทั้งหมดนั้น – ก็สิ้นสุดลง

        เรารักกันสองคน เราแต่งงานกันสองคน เราอยู่ด้วยกันสองคน แต่ตอนที่เราเลิกกัน ฉันเห็นใบหน้าผู้คนอีกนับสิบที่เกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ของเรา

        มันไม่ใช่เรื่องของเราสองคน

        เมื่อฉันจะตัดเขาออกจากชีวิต ฉันจึงตัดทุกคนออกไปด้วย

        ฉันไม่ติดต่อใครที่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ฉันทำแบบนั้นจริงๆ อาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และเหมือนไม่มีหัวใจ แต่หากฉันต้องการเดินไปข้างหน้า ฉันก็ต้องปล่อยเขาไว้ข้างหลัง – อย่างไร้เยื่อใย

        ฉันไม่อยากรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ลูกกี่ขวบแล้ว หน้าตายังดูดีเหมือนเดิมไหม ภรรยาของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันไม่อยากรู้ ไม่ต้องการเห็น

        ลูกศิษย์คนหนึ่งของเขาทักมาทาง inbox หนึ่งปีเต็ม แต่ฉันไม่เปิดอ่าน ทั้งที่ฉันสนิทกับเขามาก เมื่อมองย้อนกลับไป เขาก็เหมือนน้องชายคนหนึ่ง

        น้องเห็นฉันไม่ตอบ ไม่เปิดอ่าน น้องคิดว่าฉันอาจจำเขาไม่ได้ น้องก็เลยบอกชื่อของเขามา และขอให้ฉันเปิดอ่านอย่างอ้อนวอน (หางเสียงของน้องชายคนเดิม)

        ฉันจำเขาได้ ตั้งแต่เห็นชื่อเขา เห็นรูปของเขา แต่ฉันเลือกที่จะทำแบบนี้

        ไม่อ่าน

        เพราะหากฉันคุยกับน้อง ก็เท่ากับโลกของฉันกับอดีตสามีมีบางส่วนที่ก่ายเกี่ยวกัน

        สักวัน น้องอาจเล่าให้ฉันฟังว่า อาจารย์ที่เขานับถือเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เช่น พี่ครับ อาจารย์เลิกกับเมียแล้วนะครับ พี่ครับ ลูกอาจารย์เรียนเก่งมากครับ พี่ครับ อาจารย์ไม่สบายครับ

        หรือ พี่ครับ อาจารย์ถามถึงพี่ครับ

        ซึ่งฉันไม่อยากได้ยิน ไม่ต้องการ

        บางครั้งที่ฉันบังเอิญพบคนที่เคยรู้จักเขา เช่น เพื่อนของแม่ (ผู้ไปร่วมงานแต่งงาน แถมใส่ซองให้เราอย่างหนา) ถามฉันว่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ และจริงใจ “ไม่รู้เลยค่ะ”

        พร้อมกับคำตอบนั้น ฉันรู้สึกผิด เพื่อนแม่ต้องเดินทางไกลเพื่อฉัน แต่งตัวสวยเพื่อฉัน เอาธนบัตรใหม่เอี่ยมหนึ่งปึกใส่ซองให้ฉัน เพื่อนของแม่อาจลืมไปแล้ว แต่ฉันจำได้

        ความสัมพันธ์ขยายขอบเขตโดยธรรมชาติ เมื่อต้องการหยุดความสัมพันธ์ฉันจึงตัดขอบเขตด้วยตัวของฉันเอง

        มันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจใครหลายคน ไม่อ่อนโยน ไม่โรแมนติกสักนิด แต่นั่นคือวิธีที่ฉันสะดวก

        ฉันคือราชินีแห่งการตัด มือซ้ายถือกรรไกร มือขวากำมีด ตาจ้องไปข้างหน้า อ่อนไหวเปราะบางต่ออนาคต และเย็นชาต่ออดีตกาล