สถานที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณคือที่ไหน? สำหรับศิลปินนักร้องเสียงอบอุ่นชาวแคนาดาอย่าง ไมเคิล บูเบล (Michael Buble) คำตอบอาจเหมือนกับคนส่วนใหญ่… ที่นั่นคือบ้าน
วันหนึ่งในปี 2005 ระหว่างทัวร์ที่อิตาลี เมื่อบูเบลกำลังเตรียมพร้อมสำหรับซาวนด์เช็กก่อนขึ้นแสดง เขาได้แชร์ความรู้สึกส่วนตัวกับ อลัน ชาง (Alan Chang) Music Director ว่าเขากำลังเขียนเพลงที่เกี่ยวกับความคิดถึงบ้านและคู่หมั้นในขณะนั้นของเขาอย่าง เดบบี ทิมัส (Debbie Timuss) อยู่ พร้อมกันนั้นได้ยื่นเนื้อเพลงสองสามบรรทัดที่เขียนไว้ให้กับอลัน และสารภาพกับอลันว่าเขารู้สึกมีอาการโฮมซิกอย่างมาก หลังจากออกทัวร์มาเป็นระยะเวลานาน แต่ปฏิกิริยาแรกของอลันที่เห็นเนื้อเพลงในตอนนั้นคือเขายังรู้สึกว่าผู้คนอาจไม่ได้เชื่อมโยงกับเนื้อเพลงที่เหมือนเป็นการพร่ำคิดถึงบ้านมากนัก
“ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการร้องเรียนต่ออะไรบางอย่างมากเกินไป โดยเฉพาะที่เนื้อเพลงพูดถึงการติดอยู่ในยุโรปอย่างปารีสและโรม ซึ่งเป็นที่ที่พวกเราออกทัวร์ อย่างไรก็ตาม มันเป็นไอเดียเพลงที่ดี แต่เราต้องพยายามหาวิธีปรับแต่งมันให้เข้ากับดนตรีและธีมเพลงให้ได้”
ก่อนที่พวกเขาจะใช้เวลาอีกสองสามเดือนในการคลุกคลีกับเพลงนี้จนเสร็จออกมา และส่งต่อให้ เอมี ฟอสเตอร์-กิลลีส์ (Amy Foster-Gillies) นักแต่งเพลงและนักเขียนชาวแคนาดา ลูกสาวของโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงอย่าง เดวิด ฟอสเตอร์ (David Foster) เพื่อขัดเกลาเนื้อเพลงในขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง
ในที่สุด Home เสร็จสมบูรณ์อยู่ในสตูดิโออัลบั้มที่ 4 อย่าง It’s Time ในเดือนมีนาคม ปี 2005 และเป็นเพลงแรกของบูเบลที่ปล่อยในสหราชอาณาจักร ก่อนจะได้รับความนิยมติดท็อปฮิตในหลายๆ ชาร์ตทั้งในและต่างประเทศ กลายเป็นเพลงแจ้งเกิดและเพลงประจำตัวของเขา รวมไปถึงมีศิลปินชื่อดังมากมายที่นำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในเวอร์ชันตนเอง เช่น Westlife และ เบลก เชลตัน (Blake Shelton)
แอรอน ลาแธม (Aaron Latham) แห่ง Allmusic อธิบายถึงเพลงนี้ว่าเป็น ‘การก้าวต่อไปพร้อมด้วยความหวัง’ สำหรับบูเบล และเพิ่มเติมว่า ‘ความสำเร็จของเพลงบัลลาดเพลงนี้เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเขาสำรวจและขยายดนตรีของเขาออกไปได้อีก’
Home เป็นเสมือนเพลงที่สะท้อนชีวิตจริงของบูเบล และเนื้อเพลงก็คล้ายเป็นดั่งอัตชีวประวัติของเขาเอง ที่ใช้เวลามากมายไปกับการออกเดินทางพร้อมความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่… แต่สุดท้ายก็คิดถึงบ้าน คิดถึงความอบอุ่นที่บ้าน โดยเฉพาะกับบุคคลที่เขารักซึ่งรออยู่ที่นั่น
Another summer day has come and gone away in Paris and Rome
But I wanna go home
Maybe surrounded by a million people I still feel all alone
I just wanna go home Oh, I miss you, you know
‘เป็นอีกวันหนึ่งในฤดูร้อน ณ ปารีสและโรม ที่ผ่านเข้ามาและผ่านพ้นไป แต่ฉันรู้สึกอยากกลับบ้านเหลือเกิน อาจจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนนับล้าน แต่ฉันยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวเสมอ ฉันแค่อยากกลับบ้าน ฉันคิดถึงคุณมากนะ คุณรู้ใช่ไหม’
บูเบลสะท้อนความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาซึ่งเป็นสภาวะภายในของเขาเองในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตที่ยุโรปเป็นเวลานานและห่างไกลจากบ้านผ่านเนื้อเพลงในท่อนแรก ในยามคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง วันเวลาในแต่ละวันที่ผันผ่านมักช้าลงและดูไร้ความหมาย เพราะจิตใจเรายังผูกอยู่กับสิ่งนั้นไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะกับสถานที่และบุคคลที่เราผูกพัน
ผู้คนที่รายล้อมรอบกายมากมายอาจหมายถึงแฟนเพลงของเขา ความสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่เข้ามาพัวพันทั้งในแง่ดนตรีและชีวิต กลับไม่เคยเติมช่องว่างแห่งความคะนึงถึงได้เต็ม นอกจากการกลับไปหาบุคคลอันเป็นที่รัก ณ สถานที่อันเป็นที่รักของเขา… ที่บ้าน
And I’ve been keeping all the letters that I wrote to you
Each one a line or two
“I’m ffiine baby, how are you?”
Well I would send them but I know that it’s just not enough
My words were cold and ffllat and you deserve more than that
‘ฉันยังคงเก็บจดหมายทุกฉบับที่เขียนให้คุณไว้ ฉบับละแค่หนึ่งหรือสองบรรทัดที่ไถ่ถามเพียงแค่ ‘ฉันสบายดี คุณล่ะ สบายดีไหม’ เท่านั้น… ใช่ ฉันควรจะส่งไปหาคุณ แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่เพียงพอหรอก ถ้อยคำในจดหมายมันทั้งเย็นเยียบและราบเรียบ คุณเองสมควรได้รับมากกว่านั้น’
ในอดีตเราอาจมีวิธีเติมเต็มความคิดถึงให้แก่กันด้วยจดหมาย แต่ปัจจุบันโลกเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ระยะทางแห่งความคิดถึงหดสั้นลงเหลือแค่เพียงปลายนิ้ว ผ่านโทรศัพท์ แอพพลิเคชัน อินเทอร์เน็ต เฟซไทม์ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นให้เพียงความรู้สึกที่เย็นเยียบและราบเรียบราวกับถูกกั้นด้วยกำแพงแห่งสัมผัส สัมผัสที่อบอุ่นจากตัวตนจริงๆ อ้อมกอด รอยจูบ ที่มาจากกลิ่นอายมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
Another aeroplane another sunny place
I’m lucky, I know
But I wanna go home
Mmmm, I’ve got to go home
Let me go home
I’m just too far from where you are
I wanna come home
‘เครื่องบินอีกลำที่บินผ่านไป สถานที่อีกแห่งอันแสนอบอุ่น ฉันรู้ว่าฉันโชคดี แต่ฉันอยากกลับบ้าน ฉันควรต้องกลับบ้านได้แล้วล่ะ ให้ฉันกลับบ้านเถอะ เพราะเราสองช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ฉันอยากจะกลับบ้านจริงๆ’
การเดินทางไกลอาจเติมเต็มความตื่นเต้น และเปิดตา เปิดหัวใจเราต่อสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา แต่เมื่อเวลาผันผ่าน จิตวิญญาณของเรามักเรียกร้องหาสถานที่เดิมๆ ของเราอย่างบ้านเสมอ ‘I wanna come home’ เป็นวลีที่เราทุกคนต้องพูดในบางช่วงบางตอนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตอนวัยเด็กที่ออกไปวิ่งเล่นใกล้ๆ บ้าน หรือช่วงวัยหนุ่มสาวที่ออกเดินทางไปค้นหาชีวิตที่ดินแดนแสนไกลก็ตาม แต่ไม่ว่าคุณจะพูดคำนี้ในช่วงเวลาใด ความหมายและความรู้สึกในแต่ละคราวที่พูดก็เหมือนกัน บ้านเป็นสถานที่ที่เราปรารถนาจะกลับ และมันเชื่อมโยงกับทุกผู้คนบนโลกใบนี้
And I feel just like I’m living someone else’s life
It’s like I just stepped outside when everything was going right
And I know just why you could not come along with me
‘Cause this was not your dream
But you always believed in me
‘ฉันรู้สึกราวกับกำลังใช้ชีวิตของคนอื่นอยู่ เหมือนกับว่าฉันก้าวเดินหนีไปในตอนที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี และฉันก็รู้ดีว่าทำไมคุณถึงไม่สามารถมากับฉันได้ เพราะนี่ไม่ใช่ความฝันของคุณ แต่คุณก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉันเสมอ’
บางครั้งเราจำเป็นต้องสำรวจจิตวิญญาณของตนเองบ้าง ชีวิตที่พาเรามาถึง ณ จุดที่กำลังยืนอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เราปรารถนาจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสายลมอื่นที่พัดพาเรามา จุดสูงสุดที่เรายืนอยู่อาจผ่านการละทิ้งใครบางคนที่สำคัญไว้เบื้องหลัง และในบั้นปลายมันอาจเป็นเพียงความโดดเดี่ยวเท่านั้นที่สถิตอยู่กับเรา เมื่อหันไปแล้วไม่พบใครเคียงข้างสักคน
ความฝันและความสัมพันธ์ของคนสองคนเป็นหนึ่งในปัญหาของยุคสมัยเสมอ เมื่อเดินทางไปจุดหนึ่งที่ได้รับรู้ว่าเบื้องหลังของความคิด ความฝัน ระหว่างกันและกัน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นเรื่องยากที่จะพาความสัมพันธ์ให้เดินต่อไปได้อย่างมั่นคง
ตรงกันข้าม หากมีใครสักคนที่แม้ฝันไม่ตรงกัน แต่เขาพร้อมที่จะผลักดัน เฝ้ามอง ให้กำลังใจ และเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ จงรักษาเขาไว้ในชีวิตให้ดี
Another winter day has come and gone away in even Paris and Rome
And I wanna go home
Let me go home
And I’m surrounded by a million people I still feel all alone
Oh, let me go home
Oh, I miss you, you know
‘วันแห่งฤดูหนาวแวะเวียนมาและก็ผ่านไปอีกครั้ง ถึงแม้จะอยู่ที่ปารีสหรือโรม แต่ฉันก็อยากกลับบ้าน ให้ฉันกลับบ้านเถอะ ฉันถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนนับล้าน แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นเคย ให้ฉันกลับบ้านเถอะ ฉันคิดถึงคุณ’
ฤดูที่ผันผ่านไปทุกครั้ง จากท่อนแรกของเนื้อเพลงที่เอ่ยถึงฤดูร้อน มาบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนสู่เหมันต์อันเหน็บหนาว ย้ำเตือนให้รู้ว่าเราห่างไกลจากบ้านอันอบอุ่นและคนที่เรารักมานานขนาดไหน
หากลองคิดเปรียบเทียบในความเป็นจริง ฤดูหนาวในปารีสหรือโรมคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนเหมือนกัน ท่ามกลางบรรยากาศแดนยุโรปที่สวยงามและเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางไปเยือน แต่หากสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ฤดูหนาวที่เราเคยคุ้นเมื่อยามอยู่บ้าน ความรู้สึกก็คงไม่มีทางเหมือนกันได้
ในขณะที่ฤดูหนาวที่อื่นอาจทำให้ยิ่งหนาวเหน็บขึ้น แต่ฤดูหนาวที่บ้านอาจแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นได้
Let me go home I’ve had my run
Baby, I’m done
I gotta go home
Let me go home
It will all be all right
I’ll be home tonight
I’m coming back home
‘ให้ฉันกลับบ้านเถอะ ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ ผมทำงานที่ตรงนี้เสร็จแล้ว ฉันคงต้องกลับบ้านเสียที ทุกอย่างกำลังเข้าที่จนได้ คืนนี้ฉันจะได้ไปอยู่ที่นั่นแล้ว… บ้านที่แสนอบอุ่น’
การเรียกร้องต้องการกลับบ้านเป็นความรู้สึกที่ถึง ‘ที่สุด’ แล้ว เมื่อชีวิตมาถึงจุดที่เกินกว่าจะควบคุมได้ เรามักเรียกร้องการกลับบ้านเสมอ เพราะบ้านเป็นดั่งที่พักพิงหัวใจและปลอบประโลมจิตวิญญาณ ถึงแม้ในภาษาอังกฤษคำว่าบ้านจะใช้ได้ทั้ง House และ Home แต่คำว่า home นั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง เพราะ home จะใช้ในการแสดงถึงความผูกพันซึ่งมีความหมายในเชิงความรู้สึกหรือนามธรรม พูดง่ายๆ คือบ้านที่มีชีวิต มีสมาชิกในครอบครัว มีความผูกพัน มีสายใย อันประกอบสร้างขึ้นมา ในขณะที่ house นั้นหมายถึงบ้านที่เป็นเชิงสิ่งปลูกสร้างมากกว่า
สิ่งที่ทำให้เพลง Home ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในใจผู้ฟังเสมอมาคงหนีไม่พ้นความหมายของเนื้อเพลงอันลึกซึ้งที่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกของคนไกลบ้านได้เป็นอย่างดี ดนตรีบัลลาดที่เรียบง่ายแต่แสนไพเราะ รวมไปถึงเสียงร้องอันอบอุ่นแต่หม่นเศร้าของ ไมเคิล บูเบล ที่ไม่ว่าเปิดฟังเมื่อไหร่ก็รู้สึกแทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจได้ทุกครั้ง
ไม่ว่าคุณจะต้องออกเดินทางเพื่อสิ่งใดก็ตาม แสวงหาตัวตน งาน ธุรกิจใหญ่โต หรือท่องเที่ยว ไม่ว่าสถานที่ที่คุณไปนั้นจะหรูหราหรือน่าตื่นตาตื่นใจเพียงไร เราล้วนมีความปรารถนาถึงการกลับไปอยู่ที่บ้านเสมอ บ้านที่คุณคุ้นเคยและเป็นตัวของตัวเอง บ้านที่คุณสามารถหาความรัก ความทรงจำอันอบอุ่นพบได้ที่นั่นเสมอ
Recommended Tracks
01 Track: Everything Album: Call Me Irresponsible Release: 2007
02 Track: Haven’t Met You Yet Album: Crazy Love Release: 2009
03 Track: It’s A Beautiful Day Album: To Be Loved Release: 2013