reflection

Reflection: เงาสะท้อนเผยให้เห็นแค่ผิวเปลือก เนื้อแท้ภายในคือสิ่งที่ต้องกล้าแสวงหาจึงจะได้พบ

ในปี 1998 โลกได้ทำความรู้จักกับตัวละครสตรีที่แข็งแกร่งและกล้าหาญอย่าง ฮัว มู่หลาน (Hua Mulan) จากภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 36 ของดิสนีย์ในเรื่อง มู่หลาน (Mulan) ซึ่งดัดแปลงมาจากตำนานวีรสตรีชาวจีนที่ปรากฏครั้งแรกในร้อยกรองจีนโบราณชื่อ ‘ลำนำมู่หลาน’ (Ballad of Mulan) จากเอกสารที่เรียกว่า บันทึกลำนำเก่าและใหม่ (Musical Records of Old and New) ซึ่งจัดทำขึ้นในศตวรรษที่ 6 หรือราวร้อยปีก่อนตั้งราชวงศ์ถัง ที่เล่าถึงการปลอมตัวเป็นชายและเข้าสู่กองทัพนักรบแทนที่บิดาของมู่หลาน ก่อนจะใช้เวลาต่อสู้ถึงสิบสองปี และได้รับผลตอบแทนจากคุณงามความดี ยศถาบรรดาศักดิ์มากมาย แต่เธอเลือกปฏิเสธ และเดินทางกลับบ้านเกิด ซึ่งในปี 2020 มู่หลาน ฉบับคนแสดงที่มีดารานำอย่าง หลิว อี้เฟย (Liu Yifei) ก็ถูกนำมาตีความใหม่ที่แตกต่างจากเวอร์ชันแอนิเมชัน และเตรียมลงโรงฉายให้แฟนๆ ได้รับชมกันทั่วโลก

        นอกจากปี 1998 จะทำให้เราได้รู้จักกับ มู่หลาน ในโลกภาพยนตร์แล้ว ในโลกดนตรียังถือเป็นปีแจ้งเกิดของอีกหนึ่งศิลปินหญิงชาวอเมริกันที่ดีที่สุดตลอดกาลอย่าง คริสตินา อากีเลรา (Christina Aguilera) ที่ขณะนั้นมีอายุเพียงแค่ 17 ปี และเป็นผู้ขับร้องเพลง Reflection ในเวอร์ชั่นพ็อพ ที่เป็นเพลงฉบับเต็มสำหรับซาวนด์แทร็กประกอบภาพยนตร์อีกด้วย ส่วนในแอนิเมชันนั้น ขับร้องโดย ลี ซาลองกา (Lea Salonga) ที่พากย์เสียงร้องเป็นมู่หลาน และในภาคภาษาไทยขับร้องโดย ‘โฟร์ท’ – นฤมล จิวังกูร กับท่อนแปลแสนไพเราะที่ทำให้แฟนหนังจดจำมาถึงทุกวันนี้อย่าง ‘ใครกันที่มองจ้องมา…’ และเวอร์ชันเต็มในชื่อเพลง เงา ขับร้องโดย ‘อัยย์’ – พรรณี วีรานุกูล

 

        ย้อนกลับไปในปี 1991 คริสตินา อากีเลรา วัย 11 ขวบ เข้าออดิชันเป็นหนึ่งในสมาชิกรายการ The Mickey Mouse Club แต่ก็ไม่ได้รับคัดเลือก เนื่องจากอายุยังไม่ผ่านเกณฑ์ แต่กระนั้น เธอก็ยังได้กลับมาเข้าร่วมในซีรีส์ทางโทรทัศน์ของดิสนีย์ในอีกสองปีถัดมา ซึ่งเป็นรุ่นรวมดาวอย่าง ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling), เครี รัสเซลล์ (Keri Russell), บริตนีย์ สเปียร์ส (Britney Spears) และ จัสติน ทิมเบอร์เลก (Justin Timberlake) ถือเป็นจุดที่ทำให้เธอได้มีโอกาสแสดงความสามารถทั้งร้องเพลง และ Sketch Comedy (การแสดงตลกสั้นๆ ประมาณเรื่องละ 2-3 นาที จนถึง 10 นาที) ก่อนรายการจะถูกยกเลิกไปในปี 1994

        หลังรายการสิ้นสุดลง คริสตินาย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นและเริ่มบันทึกเสียงเพลงแรกของเธออย่าง All I Wanna Do คู่กับนักร้องชาวญี่ปุ่น เคอิโซ นากานิชิ (Keizo Nakanishi) ก่อนที่จะกลับมายังสหรัฐอเมริกาในปี 1998 เพื่อหาทางเซ็นสัญญากับค่ายเพลง เธอเดินทางไปที่ RCA Records เพื่อพูดคุยรายละเอียด แต่ทางค่ายแนะนำว่าให้ลองติดต่อค่ายดิสนีย์ที่เธอเคยมีโอกาสได้ร่วมงานสั้นๆ ช่วงที่ยังเด็กแทน เพราะขณะนั้น RCA Records กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงิน และนั่นเองถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ คริสตินา อากีเลรา

        คริสตินาส่งเดโมเพลง Run to You ที่ต้นฉบับเป็นของ วิตนีย์ ฮูสตัน (Whitney Houston) ซึ่งเธอร้องคัฟเวอร์ไปให้ค่ายดิสนีย์พิจารณา ด้วยความหวังที่ว่าเธอจะถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ขับร้องเพลง Reflection ที่เป็นเพลงประกอบโปรเจ็กต์ภาพยนตร์แอนิเมชัน มู่หลาน ของดิสนีย์ในตอนนั้น และสิ่งที่เธอฝันไว้ก็เป็นจริง เพราะเธอได้รับคัดเลือกให้ขับร้องเพลง Reflection ในเวอร์ชันซิงเกิลประกอบภาพยนตร์

        หลังจากนั้นเธอได้เซ็นสัญญากับ RCA Records และออกอัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อเดียวกับเธอ (Christina Aguilera) ในปี 1999 ได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากงานประกาศผลรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 42 และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2000 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

        เพลง Reflection ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องเยี่ยมทรงพลังขึ้นแล้ว เนื้อเพลงยังมีความหมายที่สะท้อนถึงการค้นหาตัวตน อันเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างแสวงหากันทุกยุคสมัย และเชื่อมโยงบทเพลงนี้กับผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน

 

 

     *บทความนี้ไม่ได้แปลเนื้อเพลงตามเวอร์ชันในภาพยนตร์ แต่แปลตามต้นฉบับเวอร์ชันเพลงเต็มในภาคภาษาไทยของ ‘อัยย์’ – พรรณี วีรานุกูล

 

Look at me, You may think you see

Who I really am but you’ll never know me

Every day It’s as if I play a part

Now I see if I wear a mask

I can fool the world but I cannot fool my heart

‘ที่เธอเห็นไม่ได้เป็นตัวฉันอย่างที่ตัวฉันเป็น ยังมีความลับมากมายซ่อนเอาไว้ ไม่มีใครรู้จักตัวฉัน หลอกใครใคร แต่ในใจจริงนั้น ฉันไม่เคยต้องการ ทนมานานไม่รู้เท่าไหร่’

 

        ใครจะล่วงรู้ได้ว่าบุคคลรอบกายที่เราเห็นทุกวัน เบื้องหลังนั้นเขาเป็นคนอย่างไร? บุคลิก ท่าทาง คำพูด อันเป็นลักษณะภายนอก ที่ทำให้เราคิดว่า ‘รู้จัก’ คนคนหนึ่งดีแล้วนั้น แท้จริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

        เช่นเดียวกับตัวคุณ สังคมมักผลักให้คุณแสดงออก และกดข่ม ‘ตัวตน’ ที่แท้จริงเอาไว้เสมอ คำพูดชูใจเกลื่อนกลาดในเฟซบุ๊กซึ่งเป็นสถานที่อวดโอ่ความสุขเพียงเสี้ยวเดียวของชีวิตจริงบอกคุณว่า ‘ต้องแข็งแกร่ง ต้องประสบความสำเร็จ ต้องมีหน้าที่การงานที่ดี ต้องทำสิ่งนั้น ต้องเป็นแบบคนนี้’ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ผ่านตาแต่ไม่ผ่านการกลั่นกรองของจิตใจล้วนมีอิทธิพลที่ทำให้คุณต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ดี และมีความสุขตลอดเวลาที่มีคนอื่นมองอยู่ ราวกับว่าคุณไม่เคยได้รับอนุญาตให้แสดงออกถึงความทุกข์ หรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ

 

Who is that girl I see

Staring straight back at me?

When will my reflection show

Who I am inside?

Must I pretend that I’m someone else for all time

When will my reflection show

Who I am inside?

‘ใครกันจ้องมองฉันอยู่ ดูเหมือนเธอกำลังร้องไห้ ภาพที่เห็นเป็นเงาของใคร ไม่ใช่ตัวฉันเลย ต้องทนกล้ำกลืน ทนฝืนใจ นาน เท่าไรจะคลายหมองเศร้า กลับคืนมาเป็นตัวของเรา เป็นใจของเราสักที’

 

        กระจกสะท้อนภาพลักษณ์ภายนอก แต่ไม่เคยสะท้อนสิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจ บางครั้งคุณรู้สึกไม่เป็นตัวเองในโลกที่อาศัยอยู่ แต่กลับสามารถแสร้งเป็นคนอื่นและดำเนินชีวิตได้อย่างแนบเนียนเหลือเชื่อ

        สิ่งที่คุณชอบและมีความสุขที่ได้ทำอาจดูเล็กมาก จนกลับกลายเป็นว่าคุณกลัวที่จะแสดงสิ่งนั้นออกไปให้สังคมเห็น เพราะกังวลถึงสายตาที่คนอื่นจะมองกลับเข้ามาหา จนพลอยทำให้ไม่มีความสุข แย่ที่สุดคือความรู้สึกว่าตนเองเริ่มหมดไฟ และสิ่งที่ทำค่อยๆ หมดคุณค่าไปทีละนิด เพราะไม่รู้ว่าจะวางความเป็นตัวเองที่แท้จริงไว้ตรงจุดไหนของสังคม

        ถึงแม้จะฝืนพยายามปิดบังตัวตนได้อย่างแนบเนียนสักแค่ไหนยามใช้ชีวิตปกติในสังคม แต่บางห้วงยาม เมื่อได้ทบทวนตัวเองเงียบๆ หน้ากระจก คุณจะมีคำถามเสมอว่า ภาพคนที่สะท้อนในกระจกคือใคร? และคนคนนั้นต้องการอะไรกันแน่?

 

I am now in a world where I have to hide my heart

And what I believe in

But somehow I will show the world

What’s inside my heart?

And be loved for who I am

‘อีกกี่คนที่ต้องทนเจ็บช้ำแต่ก็จำต้องทน มีตัวตนอยู่เพื่อใคร สักวันจะให้โลกได้รู้ถึงความในใจ คงมีใครยอมรับฉันได้’

 

        มนุษย์ฝันถึงการมีตัวตน มีที่ยืนในสังคมที่อาศัยอยู่เสมอ แต่บางทีอาจถูกปฏิเสธ เพียงเพราะถูกบอกว่าไม่ใช่กลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคม จึงทำให้ต้องจำทนใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอึดอัด ปิดซ่อนฐานะแท้จริงของตนเองไว้ แต่หากลองรวบรวมความกล้า ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับความจริงสักครั้ง ความกลัวที่เคยมีอาจเป็นเพียงภาพมายาที่หลอกคุณมาตลอดก็ได้ ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพชัดมากๆ เรื่องหนึ่งคือ การ come out ของกลุ่ม LGBT ที่จำต้องก้าวผ่านประสบการณ์นี้เพื่อเปิดเผยตัวตนแท้จริง ระบายความอึดอัด และคาดหวังการเข้าใจ ซึ่งเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน

 

Why must we all conceal what we think and how we feel?

Must there be a secret me I’m forced to hide?

I won’t pretend that I’m someone else for all time

When will my reflection show who I am inside?

‘ทำไมต่างคนซุกซ่อน แสดงละครปิดบังหัวใจ บทที่เห็นเป็นตัวของใคร ไม่ใช่ตัวของเรา ต้องทนกล้ำกลืนทนฝืนใจ นาน เท่าไรจะคลายหมองเศร้า กลับคืนมาเป็นตัวของเรา เป็นใจของเราสักที’

 

        โลกมักจะบังคับให้คุณเป็นในสิ่งที่คุณไม่ได้เป็น หลายครั้งเราจำต้องดำเนินชีวิตในสังคมภายใต้หน้ากากที่ซ่อนพรางความรู้สึกที่แท้จริงไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสังคมตัดสิน จนทำให้เราห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่าความสุข หรือกระทั่งต้องกลายเป็นมนุษย์ที่เป็นผลผลิตจากสังคมที่มีหน้าตาเหมือนกันไปหมด เนื่องเพราะกลัวว่าหากแตกต่างแล้วจะกลายเป็นแกะดำให้ผู้คนมองด้วยสายตาหยามเหยียด

        แต่แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่มีความจำเป็นที่คุณต้องคอยสวมหน้ากากแสร้งเป็นคนที่ไม่ได้อยากเป็นไปตลอดชีวิต เพียงแต่คุณต้องลองหาเวลาอย่างจริงจังเพื่อทบทวนและสำรวจความคิดอย่างเข้มข้น กล้าที่จะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับจิตใจตนเอง ทำลายเปลือกนอกที่สังคมได้เคลือบฉาบเอาไว้ เพื่อประกาศตัวตน และจุดยืนของคุณเองบนสังคมนี้

         เลิกแคร์สายตาคนอื่นเกินเหตุ และหันมาแคร์จิตใจตนเองบ้าง หากนั่นเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณคุณเรียกร้อง และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ

 


Recommended Tracks

01 Track: Genie in a Bottle Album: Christina Aguilera Released: 1999

02 Track: Come On Over (All I Want Is You) Album: Christina Aguilera Released: 1999

03 Track: I Turn To You Album: Christina Aguilera Released: 1999