ศาสนาในประเทศจีน

คนจีนไร้ศาสนา? คำถามสู่คำตอบเรื่องความเชื่อและศรัทธาหลังปฏิวัติวัฒนธรรม

ผู้คนส่วนใหญ่รอบตัวผมรับรู้ถึงการขยายอำนาจและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน แต่ก็ยังคงมีมุมมองในแง่ลบบางอย่างเกี่ยวกับจีน ซึ่งเกิดจากการได้เห็นพฤติกรรมอันไม่ศิวิไลซ์จากเหล่า ‘ทัวร์จีน’ ทั้งการแซงคิว โหวกเหวกโวยวาย และการขากถุย

        ผมที่ใช้ชีวิตอยู่ในจีนต้องพบเจอสิ่งเหล่านี้แทบจะเป็นชีวิตประจำวันจนรู้สึกชินชาเมื่อเวลาผ่านไป

        ผมเคยคุยกับเพื่อนคนไทยบางคน และลองตั้งคำถามเล่น ๆ ว่า ต้องทำอย่างไร คนจีนจึงจะปฏิบัติตนอย่างมีอารยะในมุมมองของคนไทยเรามากขึ้น

        เพื่อนผมตอบว่า “ถ้ามีศาสนาสักศาสนามาให้คนจีนทุกคนนับถือและสร้างจารีตทางสังคมได้ ก็อาจจะช่วยเรื่องการวางตัวของคนจีนในด้านการแสดงมารยาท” อืมม… น่าคิดทีเดียว… แต่ความจริงแล้วมัน ‘ใช่’ หรือไม่?

        จริงหรือว่าคนจีนไม่มีศาสนา?

ศาสนากับพรรคคอมมิวนิสต์

        แน่ละ ใครที่พอจะคุ้นเคยกับหลักการของสังคมนิยมอยู่บ้าง ก็คงจะรู้ว่าศาสนาเป็นสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกไม่นิยมส่งเสริม ตามคำกล่าวของ คาร์ล มาร์กซ ที่ว่า ‘Religion is the opium of the people–ศาสนาคือฝิ่นของประชาชน’ เพราะศาสนาเปรียบเสมือนยากล่อมประสาท ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกรู้สาต่อการกดขี่ที่เกิดขึ้น (โดยระบบทุนนิยม) ตามหลักการแพทย์ หากใช้ยากล่อมประสาทเพื่อระงับความเจ็บปวดมากๆ จะส่งผลร้ายในระยะยาว

        หากถามถึงศาสนาในจีน อันที่จริงชาวจีนนับถือลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อมานานนับพันปี ซึ่งหลักคิดของศาสนาทั้งสองก็ถือว่าเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของจีน ทั้งคุณธรรมความกตัญญู การเคารพผู้อาวุโส การสืบทอดตระกูล

        จนกระทั่งประวัติศาสตร์เดินมาถึงยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งมีการปลูกฝังเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างเข้มข้น ให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติและทำลายจารีตเก่า รวมถึงผู้ที่มีความคิดต่อต้านการปฏิวัติ และแสดงตัวเป็นอนุรักษ์นิยม

        มีการสั่งห้ามไม่ให้ผู้คนนับถือศาสนา โดยกล่าวอ้างว่าศาสนาคือภัยอันตรายของพรรคคอมมิวนิสต์ มีการทำลายวัดวาอาราม ศาสนสถาน องค์เทวรูป และตำราทางศาสนามากมาย

        การปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966-1976 รวมทั้งหมดเป็นเวลา 10 ปี แต่ช่วงเวลาดังกล่าวได้ทำลายวัฒนธรรมและจารีตเก่าที่สั่งสมมานานหลายพันปีจนเกือบจะหมดสิ้นไป

ศาสนากับพรรคคอมมิวนิสต์หลังยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม

        หนึ่งในข้อแตกต่างระหว่างชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับชาวจีนโพ้นทะเล คือการที่ชาวจีนโพ้นทะเลบางส่วนไม่ได้ผ่านการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเหมือนอย่างชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ลูกหลานคนจีนในไทยบางคนยังคงไม่กินเนื้อวัวเพราะนับถือเจ้าแม่กวนอิมอยู่ ในขณะที่ตัวผมใช้ชีวิตอยู่ในจีนมา 4 ปีแต่ไม่เคยเห็นชาวจีนคนไหนไม่กินเนื้อวัวเลย

        หลังยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม ทางการจีนได้มีนโยบายฟื้นฟูความเชื่อทางศาสนา และส่งเสริมแนวคิดจารีตเก่าในบางประการที่เป็นประโยชน์ต่อการปกครอง

        คนจีนมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนามากขึ้นจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ก็ยังมีการควบคุมอย่างเข้มงวดโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งการไม่อนุญาตให้คริสตจักรและสันตปาปาจากวาติกันซึ่งเป็นรัฐต่างชาติมามีอำนาจต่อศาสนิกชาวคาทอลิกจีน โดยทางพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้รับรองและแต่งตั้งบิชอปด้วยตัวเอง หรือการที่ชาวพุทธในจีนไม่ได้รับอนุญาตให้บูชาองค์ทะไลลามะจากทิเบต การกวาดล้างลัทธิฝ่าหลุนกง และการสร้างค่ายกักกันชาวมุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง

        แน่นอน ทั้งหมดก็เพื่อความมั่นคงของผู้ปกครองที่ได้ชื่อว่าพรรค ‘คอมมิวนิสต์’ นั่นเอง

ภาพรวมศาสนากับคนจีนในปัจจุบันเป็นอย่างไร

        ถึงแม้ว่าเสรีภาพในการเลือกศาสนาจะมีมากกว่าก่อน และได้มีผลสำรวจขึ้นมาในปี พ.ศ. 2561 โดยองค์กรพิว (The Pew Forum on Religion & Public Life) ที่เปิดเผยว่ามีผู้ไม่นับถือศาสนาทั่วโลกกว่า 1,100 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนจีนถึง 700 ล้านคน

        แม้ข้อมูลเชิงตัวเลขจะเป็นเช่นนั้น แต่ผมเคยถามเหล่าซือประจำคลาสของผมว่าคนจีนส่วนมากไม่นับถือศาสนาจริงหรือ คำตอบที่ผมได้รับคือ ‘ไม่จริง’ คนจีนกว่า 700 ล้านคนไม่ได้ถูกบันทึกว่านับถือศาสนาเป็นเรื่องจริง แต่ผู้คนมากมายยังคงยึดหลักปฏิบัติและหลักคุณธรรมของขงจื๊อ บางคนยังเชื่อเรื่องของฮวงจุ้ย บางคนยังเข้าวัดเพื่ออธิษฐานขอพรจากพระโพธิสัตว์ บางคนยังเชื่อในเรื่องของหยินหยาง และบางคนยังคงใช้บริการการแพทย์แผนจีนที่ในบางส่วนวิทยาศาสตร์ไม่ได้รองรับครบถ้วน

        และหลายครั้งที่เราเห็นคนจีนแห่มาไหว้พระในไทย เช่าบูชาพระเครื่องในไทย รวมถึงการไปต่อคิวซื้อเครื่องรางของขลังต่างๆ

        ก็จะเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งและเข้าใจยากมาก หากจะบอกว่าชาวจีนไม่มีศาสนา

        ในข้อนี้มีหลายคนที่ตีความว่าจุดประสงค์ในการนับถือศาสนาและการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนจีนนั้นผิดเพี้ยนไปมาก กล่าวคือ ศาสนาสำหรับคนจีนส่วนใหญ่ ไม่ใช่การเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หรือการพูดถึงบุญบาป และตัดสินผิดชอบชั่วดี สำหรับคนจีน ศาสนาคือเครื่องรางในการช่วยให้พวกเขากอบโกยทรัพย์สิน การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ทำเพื่อขอเงินขอทอง ขอให้มั่งคั่งร่ำรวย เป็นการบูชาเพื่อโชคลาภและผลประโยชน์ ไม่ว่าจะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีจริงหรือไม่ บูชาไว้ก่อนไม่เสียหาย เผื่อจะช่วยให้รวยได้จริง

        การกล่าวว่าคนจีนไร้ศาสนานั้น แท้จริงอาจหมายถึงการนับถือโดยไม่ได้มีความศรัทธาจริงใจ แต่นับถือเพื่อให้หลุดพ้นจากชีวิตความจนที่ยากลำบาก หรือเพื่อให้ค้าขายร่ำรวยตามที่คาดหวัง ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยเราบางส่วนก็เริ่มลักษณะไม่ต่างกันมากนัก

        เช่นนี้แล้ว สำหรับผม การกล่าวว่าชาวจีนเป็นพวกไร้ศาสนา แม้ว่าจะไม่ผิด แต่ก็ถือว่าไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เนื่องจากประเทศจีนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ลำบากมายาวนาน เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินหลายคราวหลายครั้ง การทำความเข้าใจประเทศจีนจึงไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถตัดสินได้ภายในวันสองวัน เพราะมันซับซ้อนมาก ต้องใช้เวลาค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์

        การกล่าวหาว่าคนจีนไม่มีความศิวิไลซ์เพราะไร้ศาสนา หรือแย่กว่านั้น ไปว่าเขาว่าไร้วัฒนธรรม ผมเห็นว่ามันค่อนข้างที่จะใจร้ายไปหน่อย–ใช่หรือไม่?