Glambot แพลตฟอร์มซื้อขายเครื่องสำอางมือสอง ส่งต่อความสวยงามแบบไม่ทำร้ายโลก

เครื่องสำอางน่าจะเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของใครหลาย ๆ คน เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล รายงานจากเว็บไซต์ GlobalNewsWire บอกว่ามีมูลค่ามากถึง 340,000 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลก หรือประมาณ 11 ล้านล้านบาท ในปี 2020 และมีการคาดการณ์ว่าจะโตเป็น 820,000 ล้านเหรียญฯ ภายในปี 2024 ด้วย แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือว่าหลังจากที่มีการผลิตเครื่องสำอางเหล่านี้ออกมาแล้วมันกลายเป็นขยะ ทั้งถูกทิ้ง หมดอายุ หรือขายไม่ได้กว่า 40% เลยทีเดียว

        เราทราบกันดีว่าแฟชั่น (โดยเฉพาะฟาสต์แฟชั่น) นั้นสร้างผลกระทบที่ไม่ดีให้กับโลกมากขนาดไหน ด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความสวยความงามนั้น แม้จะสร้างมลภาวะในปริมาณน้อยกว่า แต่มันกลับมีความร้ายแรงสูงมาก ไมโครบีดและไมโครพลาสติก เช่น กากเพชร ไม่สามารถที่จะแยกออกจากน้ำทะเลในมหาสมุทรได้เลย สาร Avobenzone ในครีมกันแดดก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำลายแนวปะการัง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในน้ำหอมและสเปรย์ฉีดผมมีส่วนทำให้เกิดหมอกควันและมลพิษทางอากาศ การใช้น้ำมันปาล์มแบบไม่บันยะบันยังในเครื่องสำอางที่ขายในท้องตลาดกว่า 70% ทำให้เกิดการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่าเป็นบริเวณกว้าง จากการศึกษาของ Zero Waste Europe บอกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและการดูแลส่วนบุคคลของเราทำให้เกิดการผลิตบรรจุภัณฑ์กว่า 142,000 ล้านชิ้นในปี 2018 เพียงปีเดียวเท่านั้น นั่นหมายถึงว่ายิ่งอุตสาหกรรมนี้เติบโตมากขึ้นแค่ไหน ขยะและมลภาวะที่จะเกิดขึ้นก็จะสูงตามไปด้วย

ภาพ: www.glambot.com

 

        เมื่อประมาณต้นปี 2019 ที่ช่างแต่งหน้าที่มีชื่อเสียงในกลุ่มผู้ชื่นชอบเครื่องสำอางและ Vlogger อย่าง Natasha Denona ออกผลิตภัณฑ์อายแชโดว์รุ่น Monopolis ก็ขายหมดเกลี้ยงแทบจะทันที สำหรับคนที่พลาดโอกาสในการซื้อรอบแรกก็จะต้องรอคนที่ได้ไป ลองใช้แล้วแต่ไม่ชอบเอามาโพสต์ขายออนไลน์ต่อในอนาคต ซึ่งราคาก็จะลดลงกว่าเดิมอีกนิดหน่อย ซึ่งเครื่องสำอางมือสองเหล่านี้จะมีการโพสต์ขายผ่านแพลตฟอร์มชื่อ Glambot ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขายสินค้าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมือสองที่ก่อตั้งในปี 2013 โดย คาเรน โฮริอูจิ (Karen Horiuchi) มันกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคนที่อยากขายก็ส่งเครื่องสำอางที่ลองใช้แล้วไม่ถูกใจ มีเยอะเกินไป หรือแม้กระทั่งสั่งซื้อออนไลน์แล้วได้ของผิดพลาดแต่ขี้เกียจส่งคืน ก็สามารถส่งไปขายให้กับ Glambot หลังจากนั้นเมื่อของไปถึงแล้ว ก็จะมีการตรวจเช็กสภาพแล้วส่งราคาประเมินมาให้ ถ้าโอเคกับราคาประเมินก็ขาย ถ้าไม่โอเคทาง Glambot ก็จะส่งของกลับมาคืนเจ้าของ ส่วนสินค้าที่ Glambot ซื้อเอาไว้ พวกเขาก็นำมาขายต่อในราคาที่ถูกลงบนเว็บไซต์ เพื่อส่งต่อเครื่องสำอางเหล่านี้ให้คนที่อยากได้ต่อไปนั่นเอง (โมเดลคล้ายกับแพลตฟอร์มเสื้อผ้ามือสองอย่าง ThredUp)

 

ภาพ: www.glambot.com

 

        แม้ว่าในตอนนี้ยังไม่ได้มีภาพที่ชัดเจนว่าตลาดของเครื่องสำอางมือสองจะเติบโตไปได้มากขนาดไหน แต่มันก็ทำให้เห็นว่าโลกของเครื่องสำอางมือสองนั้นกำลังได้รับความนิยมและเป็นมาตรฐานการซื้อขายสินค้าในยุคปัจจุบัน เหมือนอย่างที่แพลตฟอร์ม ThredUp และ TheRealReal ทำได้กับแฟชั่นมือสอง ที่ตอนนี้เวลาเรานึกถึงเสื้อผ้ามือสองก็มักจะนึกถึงพวกเขาเป็นอันดับแรก ๆ การเติบโตของตลาดเครื่องสำอางมือสองก็น่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ตอนนี้แพลตฟอร์มอย่าง Mercari ของญี่ปุ่นที่มีมูลค่ากว่า 1,200 ล้านเหรียญ (ยูนิคอร์นตัวแรกของญี่ปุ่น) ก็กลายเป็นพื้นที่ซื้อขายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยเช่นกัน

        แบบสอบถามที่ทำขึ้นโดย Ipsos บริษัทวิจัยการตลาดพบว่า 37% ของคนที่ตอบแบบสอบถามสนใจที่จะซื้อเครื่องสำอางมือสองที่ไม่ได้ใช้หรือไม่เคยเปิดใช้มาก่อน และประมาณ 49% บอกเหตุผลว่าเพราะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับราคามากกว่า บริษัทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจโลกอย่าง  WGSN ได้ทำแบบสำรวจเพิ่มเติมต่อไป นอกจากเรื่องราคาและความคุ้มค่าแล้ว เหตุผลที่คนซื้อเครื่องสำอางมือสองคือความรู้สึกเป็นห่วงสภาพแวดล้อมและการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ตัวเองอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้า Gen Z และ Millenial

        WGSN รายงานว่ามันยากที่จะคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตขึ้นมากขนาดไหน แต่ความเป็นไปได้คือว่ามันยังเป็นตลาดที่ใหม่และเริ่มมีเจ้าใหญ่หันมาสนใจมากขึ้น อย่าง Poshmark หรือ ebay ก็เริ่มมีขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมือสองเช่นกัน ดูเหมือนว่าสินค้าด้านความสวยความงามนี้จะเป็นลำดับต่อไปในตลาดของการ Upcycle / Resale จากที่มันเคยถูกมองว่าไม่สะอาดหรือไม่ถูกสุขอนามัย แพลตฟอร์มหลายๆ แห่งอย่าง Glambot ก็มาช่วยทำให้ปัญหานี้หมดไป รวมไปถึงสินค้าบางตัวเป็นไอเทมที่หายากหรือขายหมดแล้ว สินค้ามือสองเลยกลายเป็นที่ต้องการมากกว่าเดิมด้วย

 

        อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เทรนด์นี้น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ก็เพราะว่าเครื่องสำอางสมัยนี้มีเยอะมาก มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อมาใช้แล้วบางทีใช้ยังไม่ทันหมดก็มีตัวใหม่ที่อยากลองออกมาอีกแล้ว การเติบโตของเหล่า Beauty Blogger/Vlogger ออนไลน์ยิ่งผลักดันให้คนหันมาสนใจเรื่องการแต่งหน้าและซื้อของเหล่านี้เพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้าอยากเห็นง่ายๆ ลองไปค้นหาคำว่า “#shelfie” ในอินตาแกรมดูจะพบโพสต์กว่าสามล้านโพสต์ที่มีการแชร์ชั้นวางหรือกล่องใส่เครื่องสำอางที่อัดแน่นเต็มล้นของใครต่อใครหลายคนทั่วโลก ใช้ยังไงก็ไม่มีทางหมดและสุดท้ายถ้าไม่ขายก็ต้องทิ้งอย่างแน่อน

        เครื่องสำอางมือสองที่ขายดี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้แกะใช้ เป็นของแถม หรือซื้อมาตอนได้ราคาดี หรืออย่างพวกน้ำหอมแบรนด์ที่ทำร่วมกับดีไซเนอร์ชื่อดังจำนวนจำกัด (บางอย่างได้ราคาสูงกว่ามือหนึ่งเพราะมันหาซื้อไม่ได้แล้วก็มี) สิ่งหนึ่งที่ลูกค้าจะกังวลก็คือเรื่องของวันหมดอายุและความสะอาด 68% ของผู้ตอบแบบสอบถามของ Ipsos ก็บอกเหมือนกันว่าเหตุผลที่จะไม่ซื้อเครื่องสำอางมือสองก็เพราะเรื่องนี้

        ความท้าทายอย่างหนึ่งในการซื้อขายเครื่องสำอางมือสองคือเรื่องสุขอนามัยและความสะอาด (ซึ่งสำหรับสินค้าแฟชั่นอย่างเสื้อผ้าทำได้ง่ายกว่ามาก) ทางด้าน Glambot บอกว่าหลังจากที่พวกเขาได้รับซื้อเครื่องสำอางจากลูกค้ามาแล้ว ก็จะมีการนำไปทำความสะอาดทันที จากนั้นสินค้าทุกชิ้นจะนำไปลิสต์บนเว็บไซต์ โดยมาตรฐานในการทำความสะอาดของ Glambot นั้นจะมีการแกะทำความสะอาดทุกชิ้นส่วน โดยใช้ตั้งแต่ความร้อน อาบแสง การกำจัดสิ่งแปลกปลอม ล้างเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ ทำทุกอย่างในห้องแล็บที่สะอาด เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าที่ซื้อไปจะมั่นใจได้ว่าสินค้ามีสุขอนามัยที่ดีและปลอดภัยจริงๆ ยกตัวอย่างสินค้าอย่างแป้งตลับอัดแข็ง หรือ Pressed Powder พวกเขาจะมีการเลาะเอาผิวด้านบนของแป้งออกโดยใช้แรงดันลม สำลีไม้ และอื่นๆ เพื่อให้สินค้านั้นคงคุณภาพเหมือนใหม่  หรืออย่างลิปสติกก็เฉือนผิวด้านบนออกก่อนจะวางขาย สินค้าที่มีการใช้อุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสผิวโดยตรงอย่างลิปกลอสหรือมาสคาร่า ทาง Glambot จะซื้อและขายสินค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้เท่านั้น

             

ภาพ: เฟซบุ๊ก Glambot

        สำหรับแบรนด์เครื่องสำอางแล้วอาจจะดูไม่ได้ประโยชน์อะไรในทางตรง แต่ในความเป็นจริงแล้วแพลตฟอร์มอย่าง Glambot กำลังช่วยพวกเขาโฆษณาสินค้าไปโดยไม่ต้องเสียเงินเลย เพราะเครื่องสำอางแบรนด์เนมบางอย่างราคาสูงมากๆ สำหรับคนที่ไม่เคยใช้จะรู้สึกว่าเสี่ยงเกินไปในการทุ่มเงินเพื่อซื้อมาลองใช้ แต่ถ้าได้ลองใช้สินค้ามือสองในราคาที่ถูกลงแล้วติดใจ โอกาสที่ลูกค้าเหล่านี้จะกลายเป็นแฟนคลับของแบรนด์ก็จะมีสูงขึ้นด้วย จากผลการสำรวจของ Ipsos ก็บอกตรงกันว่า 30% ของคนที่ตอบแบบสอบถามซื้อสินค้ามือสองเพราะจ่ายไม่ไหวถ้าต้องซื้อราคาเต็ม

        และแน่นอนว่านอกจากเรื่องของราคาที่ถูกลงแล้ว เทรนด์ของธุรกิจที่กำลังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ คือธุรกิจที่ดูแลและใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำร้ายโลกให้แย่ลงไปกว่าเดิม สำหรับลูกค้า Gen Z และ Millenial ที่ตอนนี้คือกลุ่มผู้บริโภคหลักของโลกนั่นคือสิ่งที่พวกเขาสนใจ และ Glambot ก็ตอบโจทย์ทั้งสองเรื่อง มันเป็นธุรกิจความสวยความงามที่ทำให้โลกนี้สวยขึ้นไปพร้อมๆ กัน


อ้างอิง:

  • https://www.livemint.com/mint-lounge/features/unseen-2019-the-ugly-side-of-beauty-waste-11577446070730.html
  • https://www.glambot.com/about
  • https://www.voguebusiness.com/companies/burberrys-partnership-realreal-secondhand

เรื่อง: โสภณ ศุภมั่งมี