ความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์อันดีคือสินทรัพย์อีกอย่างหนึ่งที่ห้ามละเลย

“ทำงานแรกๆ อย่าเอาเงินเป็นตัวนำ แต่ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”

ตอนเรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆ พ่อสอนผมด้วยประโยคเบื้องต้นแบบนี้เสมอ จนผมจำมันได้ขึ้นใจ ถึงแม้ว่าเบื้องลึกแล้วจะยังมีคำถามในใจอยู่ว่าเราเอาแรงไปแลกกับเงินของเขาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเราไม่ควรคิดถึงเงินเป็นที่ตั้งล่ะ

     จนกระทั่งชีวิตล่วงเลยเข้าสู่วัยสามสิบ คำถามที่เคยตั้งค่อยๆ ถูกประสบการณ์การทำงานที่อยู่ภายใต้คำสอนของพ่อคลายคำตอบออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการมีผองเพื่อนพี่น้องและมิตรภาพทั้งในและนอกแวดวงทำงานที่มากขึ้นจากความขยันและไม่เกี่ยงงานในช่วงเริ่มแรกของการทำงาน

     บทเรียนนี้สอนผมว่า การเริ่มต้นยากเสมอ แต่อาจไม่ยากจนเกินไป ถ้าเรามองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเงินเดือนที่เราจะได้รับ นี่คือการเติมโอกาสให้ตัวเองในระยะยาวที่เราไม่ควรมองข้าม เขียนไปแล้วถึงแม้จะอาจขัดใจวิถีคนรุ่นใหม่ที่เน้นอะไรที่ได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ความยั่งยืนของชีวิตและรายได้บางครั้งจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบอย่างเวลาและความสัมพันธ์แห่งมิตรภาพเหมือนกัน

     มาร์ก กราโนเวตเตอร์ (Mark Granovetter) นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเป็นนักเขียนหนังสืออย่าง Getting a Job : A Study of Contacts and Careers และ Society and Economy : Framework and Principle ได้อธิบายถึงเรื่องความสัมพันธ์ในงานวิจัยของเขาในบริบทโอกาสในการหางานใหม่ไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า

     ‘นอกเหนือจากสิ่งที่เรารู้ คนที่เรารู้จักก็สำคัญไม่แพ้กัน ที่น่าแปลกใจคือ เราไม่ได้รู้ว่ามีโอกาสได้งานใหม่ๆ จากเพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่กลับรู้จากคนที่รู้จักอย่างผิวเผินอย่างเพื่อนของเพื่อนมากกว่า เหตุผลเพราะข้อมูลของเพื่อนกลุ่มเดียวกันมักซ้ำไปซ้ำมา ทุกคนรู้เรื่องเหมือนกันหมด แต่เมื่อเครือข่ายขยายไปครอบคลุมกลุ่มคนที่ไม่ได้รู้จักกันดี ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลใหม่ๆ ขึ้นในชีวิตที่หลากหลาย ซึ่งจะได้ประสบช่วงเปลี่ยนผ่าน และเปลี่ยนสายงานหลายครั้ง เครือข่ายหลากหลายที่กว้างขวางนี่เองที่จะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในการทำงาน’

 

     ตอนอ่านข้อมูลจาก มาร์ก กราโนเวตเตอร์ นั้นถือว่าค่อนข้างสอดคล้องกับความเชื่อจากประสบการณ์ของผมพอสมควร และก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของ ‘พี่จุ้ย’ – ศุ บุญเลี้ยง ศิลปินชื่อดัง ที่มาเล่าเรื่องราวด้านการลงทุนของเขาให้ใครหลายๆ คนฟังบนเวทีทอล์กโชว์เรื่องการปฏิวัติทางการเงินของ ‘พี่หนุ่ม’ – จักรพงษ์ เมฆพันธุ์ หรือที่ใครหลายคนรู้จักในนาม The Money Coach

     ข้อคิดหนึ่งที่พี่จุ้ยฝากเอาไว้ให้คนฟังได้คิดคือโลกของการลงทุนไม่ใช่มีแต่คนมีเงินมากเท่านั้นที่จะครอบครองสิ่งที่อยากได้ พี่จุ้ยบอกว่า การลงทุนเรื่องสายสัมพันธ์ก็สำคัญไม่แพ้เม็ดเงิน

     พี่จุ้ยเล่าว่า เขาใฝ่ฝันอยากมีที่ดินติดริมแม่น้ำครับ สถานที่ที่พี่จุ้ยเล็งเอาไว้คือที่ดินในจังหวัดราชบุรี

     ลองนึกภาพตามที่ดินติดริมน้ำ อยู่ไม่ไกลถนนเส้นหลัก มันต้องแพงแน่นอนอยู่แล้ว แถมยังต้องแข่งขันกับนักลงทุนรายอื่นๆ ที่หมายปองอีกต่างหาก แต่ด้วยความที่พี่จุ้ยเป็นคนมีเพื่อนเยอะ จึงนำความต้องการนี้ไปบอกกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่สนิทชิดเชื้อกัน

     จนกระทั่งวันหนึ่งมีนางพยาบาลโทร.มาหาพี่จุ้ยครับ พี่จุ้ยรับสายด้วยความงุนงง เพราะพี่จุ้ยไม่ได้รู้จักกับพยาบาลคนนี้เป็นการส่วนตัว พยาบาลแจ้งกับพี่จุ้ยว่า มีที่ดินติดริมน้ำอยู่ไม่ไกลจากถนนเส้นหลักตามที่พี่จุ้ยต้องการ และน่าจะถูกขายเร็วๆ นี้

     พี่จุ้ยจึงตอบกลับไปที่ปลายสายว่า เป็นพยาบาลแล้วรู้ได้อย่างไร

     พยาบาลคนนั้นตอบว่า เจ้าของที่ดินติดริมน้ำแปลงนั้นตอนนี้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ พร้อมกับลูกหลานที่มาอำลาเป็นครั้งสุดท้าย และน่าจะมีการขายแปลงที่ดินดังกล่าวเร็วๆ นี้

     เรื่องราวของพี่จุ้ยเรียกเสียงปรบมือจากคนดูได้ทั่วฮอลล์ครับ

 

     ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากพี่จุ้ย บวกกับงานวิจัยของ มาร์ก กราโนเวตเตอร์ และคำสอนของพ่อ ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อส่วนตัวอีกครั้งว่า ความสัมพันธ์อันดีคือสินทรัพย์อีกรูปแบบหนึ่งที่เราควรลงทุนติดตัวเอาไว้ย่อมไม่เสียหาย

     เรียกได้ว่าในชีวิตแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเหมือนเศรษฐี แต่ถ้ายังมีมิตรสหายมากมายก็ยังพอให้ชีวิตรู้สึกคลายความกังวลหายห่วงได้บ้างไม่มากก็น้อยนั่นเอง อย่างน้อยการโยกย้ายงานใหม่ก็ยังมีผองเพื่อนที่หลากหลายคอยแนะนำให้ได้อยู่ ฮาๆ