ความรักและเชือกล่องหน
นับตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าตัวเอง ‘ท้อง’ หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยคำว่า ‘ลูก’ …ลูกชายของฉัน
ตลอดเวลา 38 สัปดาห์ ฉันทะนุถนอมร่างกายตัวเองเพื่อปกป้องลูกน้อยที่อยู่ในท้องด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว จนกระทั่งวินาทีแรกที่ฉันได้ยินเสียงร้องแห่งการมีชีวิตของเขา นี่คือจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ที่เป็นเสมือน ‘เชือกล่องหน’ ถักทอด้วยความรักที่เหนียวแน่น เพื่อผูกโยงความเป็นแม่และลูกเข้าไว้ด้วยกัน
หากไม่มีลูก ฉันคงไม่มีวันเป็นแม่ และคงจะไม่มีทางที่จะรู้จักเชือกล่องหนเส้นนี้ – ฉันคิด และเชื่ออย่างนั้น
สำหรับฉัน เชือกล่องหนเส้นนี้เชื่อมโยงฉัน ผู้เป็นแม่ เข้ากับลูก ซึ่งจะแน่นหนาและเหนียวแน่นมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ ‘ความรัก’ และ ‘ความเอาใจใส่’ จะชัดเจนในความทรงจำ ในความรู้สึกของลูกมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ ‘การกระทำ’ ของแม่ รวมทั้งพ่อ ที่มอบให้กับลูกในทุกๆ ช่วงวัย
โดยเฉพาะสามขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกน่ารักที่สุด หน้าตาจิ้มลิ้ม ร่างกายก็เล็กจิ๋วไปทุกส่วน ทำให้ฉันยัง ‘โอบอุ้ม’ เขาไว้ในอ้อมแขนได้ กอดรัดด้วยความเอ็นดู หอมแก้มย้วยๆ ได้ฟอดใหญ่ มีมือเล็กๆ ให้ฉันได้จูงเดิน ได้กล่อมเข้านอนและหลับไปพร้อมกันทุกคืน ได้นั่งดูเขากินข้าวด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังต้องป้อนกันอยู่เลย
สิ่งเหล่านี้คือบางช่วงบางตอนที่ปรากฏบนเชือกล่องหน มีบางช่วงและอีกหลายๆ ช่วงที่เว้าแหว่ง ไม่ได้เติมเต็มด้วยความละมุนละไมอย่างที่เคยเป็น
บางช่วงที่ว่านั้นคือความเหนื่อยล้าจากการอดนอนเป็นเวลานาน สลับกับการต้องปั๊มนมทุกๆ สามชั่วโมง เมื่อตอนลูกแรกเกิด รวมทั้งการเป็นแม่ฮาล์ฟไทม์ ทำงานประจำครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แน่นอนว่า สิ่งนั้นส่งผลต่ออารมณ์ของฉัน บางครั้งฉันก็เกรี้ยวกราด บางครั้งฉันก็ฉุนเฉียว บางครั้งฉันก็เผลอเสียงดัง
แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และมนุษย์แม่ทุกคนคงจะต้องพบเจอไม่ต่างจากกันเท่าไหร่นัก อาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามบริบทสังคมและเศรษฐกิจในครอบครัวที่ต่างกัน – ฉันคิดอย่างนั้นเสมอ เพียงปัดเป่าความคิดสกปรกออกจากจิตใต้สำนึก
ฉันยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า บางครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าจนใจแทบพัง ฉันเคยคิดว่าการมีลูกคือ ‘อุปสรรค’ แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า นั่นเป็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น และเมื่อฉันเห็นลูกยิ้ม หัวเราะ กินอิ่ม นอนหลับสบาย ไร้การเจ็บปวดใดๆ ตรงนั้นฉันมีความยินดีที่ได้เป็นแม่ และมีความสุขมากกว่าที่ตัวเองเคยคิดว่าจะได้รับ ทั้งยังหวังใจว่าลูกจะไม่ต้องพบเจอกับสิ่งไม่ดี หรือความเจ็บกาย ทรมานใจใดๆ นับจากนี้จนเติบใหญ่
คุณ–ผู้เป็นแม่ คิดแบบเดียวกันหรือเปล่า? ฉันเชื่อ และเข้าข้างตัวเองว่า แม่ทั้งโลกย่อมคิดและเป็นเช่นนี้
ถึง… เธอคนนั้น ผู้เป็นแม่ที่คิดน้อยหรือไม่เคยคิด
คงจะมีไม่มีแม่ไม่กี่คนในโลกที่คิดน้อยกว่านี้ คิดตื้นกว่านี้ หรือบางทีอาจจะไม่ได้คิดเลยก็ได้ หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าแม่ แต่กลับ ‘ทำร้าย’ ลูกเลี้ยงวัย 4 ขวบ จนเสียชีวิต และซ้ำการกระทำเดิมกับลูกน้อยในไส้วัย 2 ขวบ จนเจ็บเจียนตาย ด้วยการ ‘วางยา’ ประเภทสารกัดกร่อน ผสมอาหารให้ลูกทั้งสองกิน เพียงเพื่อเรียกร้องความเห็นใจและความสงสารจากแม่และคนอื่นๆ ผ่านการโพสต์ข้อความ ถ่ายคลิปวิดีโอ และการไลฟ์ระหว่างที่ลูกน้อยกำลังทุกข์ทรมาน โดยหวังจะได้ ‘เงิน’ หลักสิบล้านเป็นเป้าหมาย
เธอคนนี้ต้องเป็นแม่แบบไหนกัน ถึงทำร้ายทรมานลูกได้ลงคอ – ฉันไม่รู้และยังไม่มีใครรู้ถึงเหตุที่เธอเลือกทำ
ระหว่างนั้น คำถามก็ผุดขึ้นมากมาย เธอคนนั้นทนต่อเสียงร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสของลูกเล็กๆ ได้อย่างไร ทนเห็นเขาอาเจียนเป็นเลือดจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ได้อย่างไร คิดอะไรอยู่ระหว่างที่หยดสารพิษลงอาหาร แล้วเป็นคนป้อนให้ลูกแทนหยดน้ำนมจากอกตัวเองให้ลูกกิน ในขณะที่ลูกอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ใจของคุณรู้สึกอย่างไร หรือไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ถึงสามารถยกมือถือขึ้นมาถ่ายคลิป โพสต์ลงโซเซียลฯ หรือทำการไลฟ์ได้ลง
ข่าวนี้ทำฉันเจ็บปวดอยู่ลึกๆ แต่อีกมุมหนึ่ง ฉันก็คิดว่า หรือว่าเธอคนนั้นมีความจำเป็น ซึ่งเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจทำแบบนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอเองก็ไม่ได้ต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ แต่เพราะเธอ ‘คิดน้อย’ เกินไป จากแค่ความคิดชั่ววูบ บานปลายออกไปจนเกินขอบเขต และสูญเสียการควบคุมไปในที่สุด
ท้ายสุดเรื่องก็แดง ความก็แตก ผลลัพธ์ที่เกิดจากการคิดน้อยของเธอส่งตรงถึงลูกน้อยที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเชือกล่องหนของจริง ที่ไร้แม่ให้พันผูก ไร้ความรักไว้ยึดโยงหัวใจและร่างกายที่เจ็บปวดแสนทรมานซึ่งไม่รู้ว่าจะจบสิ้นที่อายุเท่าไหร่ เธออาจจะไม่เคยคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หรือเพราะเธอคิดว่าไม่นานเท่าไหร่ลูกน้อยคนนี้ก็จะสิ้นใจเหมือนกับลูกเลี้ยงที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้
ทั้งหมด อาจจะไม่เกิดขึ้น หรืออาจจะมีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ได้ หากเธอคนนั้น ‘คิด’ ให้มากกว่านี้ ใส่ความรักลงไปให้มากกว่านี้ รักลูกให้มากกว่านี้ โยนคำว่าเห็นแก่ได้ที่ครอบงำจิตใจทิ้งให้เร็วกว่านี้ ปัดความคิดต่ำตมให้พ้นออกจากชีวิตได้ไวกว่านี้ เธอคงไม่ต้องเลือกเส้นทางนี้ และเด็กทั้งสองคนคงไม่ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้กระทำผิด หรือยินยอมให้แม่ของตัวเองทำแบบนี้
ถึงตอนนี้ ฉันก็ได้ภาวนาให้เด็กน้อยผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปได้ด้วยหัวใจที่ดีงาม (กว่าแม่ของเขา)
ในฐานะที่ฉันเป็นแม่ มีลูกวัยใกล้เคียงกัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ ที่ทั้งเหนื่อย ต้องอดทน อดกลั้น และต้องพยายามมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่คนแล้ว คิดถึงลูกและผลลัพธ์ปลายทางให้มากๆ เข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี
ขอกอดให้กำลังใจแม่ทุกคนแน่นๆ ด้วยความเข้าใจ