การประกาศว่าจะกลับมาทำเพลงใหม่อีกครั้งในรอบหลายปีของ Linkin Park หลังจากการเสียชีวิตของ เชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington) เมื่อปี 2017 ทำให้แฟนๆ ของวงดนตรีนี้กลับมาใจชื้นอีกครั้ง รวมถึงผมด้วย
สำหรับผม เมื่อพูดถึง Linkin Park คงต้องพูดถึงเพลงระดับตำนานอย่าง What I’ve Done ที่นอกจากจะฮิตถล่มทลายแล้ว เนื้อหาในมิวสิกวิดีโอยังสะท้อนถึงความผิดพลาดมากมาย รวมทั้งตั้งคำถามถึงสิ่งที่มนุษย์ทำไว้กับโลก ตั้งแต่สงคราม ความขัดแย้ง ศาสนา และความรุนแรงในหลายๆ มิติ
แต่รู้หรือไม่ ที่จริงแล้วมิวสิกวิดีโอของเพลง What I’ve Done ยังมีอีกเวอร์ชันหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยเห็น ซึ่งเวอร์ชันนี้ฉายในประเทศออสเตรเลีย มันว่าด้วยเรื่องราวของหญิงคนหนึ่งที่นำตัวอย่างเลือดจากห้องแล็บที่เพาะพันธุ์ไวรัสออกมาส่งให้ชายปริศนาที่สวมเสื้อฮู้ดวง Linkin Park เพื่อนำไปเปิดโปงความพยายามในการทำ Social Control หรือการ ‘ควบคุมทางสังคม’ ของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม วันนี้เราคงไม่ได้มาไขปริศนาว่าเพราะอะไร Linkin Park ถึงทำวิดีโออีกชุดออกมา แต่เมื่อเกิดข่าวในทำนองว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นอาจเกิดจากความพยายามในการสร้างในแล็บของประเทศจีน ซึ่งภายหลังจีนได้ปฏิเสธความพยายามในการค้นหาต้นตอของไวรัสนี้ที่ทำให้เกิด Pandemic หรือการแพร่ระบาดกระจายทั่วโลก The New York Times ก็ได้ออกมารายงานว่าสหรัฐฯ มีการส่งสายลับไปสืบหาต้นตอ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ก็บอกว่าการกระทำเช่นนี้เข้าขั้นการสร้าง ‘การปะทะ’ กับจีน (ตัวผู้เขียนมองว่าคล้ายการที่สหรัฐฯ ส่งสายลับเข้าไปสืบในสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น)
ไม่ว่าจีนจะมีความพยายามสร้างไวรัสหรือไม่ก็ตาม เราก็คงไม่อาจทราบได้อยู่ดีว่า SARS-CoV-2 ที่ทำให้โลกปั่นป่วนนี้ ถ้ามันถูกสร้างขึ้นมาจริงตามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เชื่อ จะสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลใด จะนำไปสู่ Social Control ได้หรือเปล่า?
Social Control เป็นศัพท์ทางสังคมวิทยา ที่อธิบายถึงความพยายามในการควบคุมสังคมให้เกิดความเป็นระเบียบ ทั้งในทางความคิดและพฤติกรรม โดยบุคคลที่ผิดแปลกไปจะถูกเรียกว่า ‘Deviance’ คนที่อยู่นอกเหนือแวดวงสังคมวิทยา อาจจะเคยได้ยินคำนี้ครั้งแรกในวิดีโอเกม Detroit: Become Human ซึ่งเรียกหุ่นยนต์ที่ซึ่งพังทลายกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ควบคุมไว้ด้วยซอฟต์แวร์จนสามารถคิดได้เอง ในทางสังคมวิทยาแล้วการเป็น Deviance นั้นครอบคลุมตั้งแต่การเป็นคนที่ทำตัวผิดแปลกไปจากกลุ่มเพื่อน การแต่งตัวที่คนอื่นมองว่าแปลก การทำสิ่งที่ผิดไปจากจารีตประเพณี ไปจนถึงสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างการก่ออาชญากรรม
ด้วยเหตุผลข้างต้นเหล่านี้เองที่ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่าการทำ Social Control หรือการควบคุมทางสังคมนั้นพบได้ในทุกรูปแบบสังคมไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย เพราะอย่างน้อยๆ แล้วกฎหมายก็นับเป็น Social Control อย่างหนึ่ง แต่วันนี้สิ่งที่เราจะมาคุยกันก็คือ Social Control นั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับไวรัสหรือการเกิดโรคระบาด
ในสถานการปัจจุบัน ‘การจัดระเบียบโลก’ ได้เกิดขึ้นผ่านการทำ Social Distancing หรือสิ่งที่หลายคนอาจจะเรียกว่าเป็น ‘New Normal’ หรือความปกติใหม่ ดังนั้น ถ้านับกันตามนิยามนี้แล้ว Social Distancing นับเป็น Social Control ไหม – คำตอบก็คือนับว่าเป็นเช่นกัน
จากเหตุประท้วงต่างๆ ในสหรัฐฯ ที่บอกว่า ไวรัสโคโรนาเป็นเครื่องมือของสังคมนิยม (Socialism) หรือแม้กระทั่ง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เองยังต้องออกมาทวีตว่า ให้ “ปลดปล่อยอเมริกา” หรือนายกเทศมนตรีของลาสเวกัส แครอลีน กูดแมน (Carolyn Goodman) ออกมาฉอดกับ แอนเดอร์สัน คูเปอร์ (Anderson Cooper) แห่ง CNN บอกว่านั่นมันจีน นี่มันอเมริกา จะเอามาเทียบกันไม่ได้ คูเปอร์เลยสวนกลับไปว่าจีนหรืออเมริกามันก็คนเหมือนกันนั่นแหละ ติดไวรัสได้ทั้งนั้น ส่งผลให้แนวคิดเรื่องที่ว่าในโลกเสรีนั้น การห้ามไม่ให้คนออกจากบ้าน การสั่งปิดธุรกิจนั้นมีมูลค่าในเชิงความรู้สึกของคนสูงอยู่ทีเดียว
อย่างไรก็ดีประเด็นไม่ได้อยู่ตรงที่ว่านับหรือไม่นับว่าเป็น Social Control (เพราะจริงๆ แล้วเราทุกคนก็ต่างอยู่ใน Social Control) แต่ที่น่าสนใจคือ ‘ทำไปเพื่ออะไรต่างหาก’
ถ้าเราดูอัตราการถดถอยทางเศรษฐกิจ หรือผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบิน การท่องเที่ยว ร้านอาหาร คงบอกได้ว่าไม่เหลือ ในช่วงต้นเดือนมีนาคมก่อนที่จะเกิดการกระบาดในฝั่งยุโรป และมีการประกาศเข้าสู่สถานะ Pandemic สื่ออังกฤษหลายเจ้าตั้งแต่ The Telegraph จนถึง The Independent ลงข่าวในทำนองเดียวกันว่า “พิษจากเศรฐกิจจะฆ่าคนมากกว่าเชื้อไวรัสเสียอีก” ซึ่งนับแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ การกล่าวเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะไม่เกินจริงเท่าไหร่ ถ้าวัดจากหลายๆ สถานการณ์น่าเศร้าที่เกิดขึ้นในไทย
และอย่าลืมว่า การควบคุมทางเศรษฐกิจนั้นเกิดจากมนุษย์และนโยบาย ไม่ได้เกิดจากโรคระบาดโดยตรง ทำให้เกิด Ethical Dilemma ได้เช่นว่า “เราจะปล่อยให้ไวรัสฆ่าคนแล้วเป็นความผิดของไวรัส” หรือจะ “ควบคุมคนเพื่อไม่ให้ไวรัสฆ่าคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการควบคุมนั้นมีผลในทางความเป็นความตายเช่นกัน”
สรุปแล้ว ที่เรากล่าวกันมาทั้งหมดนี้เมื่อย้อนกลับมาถึง MV ของ Linkin Park ที่เล่นละครว่ารัฐบาลสร้างไวรัสขึ้นมาเพื่อ Social Control แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไวรัส (ไม่ว่าจะถูกสร้างขึ้นมาหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ) ล้วนแต่นำไปสู่ ‘Social Control’ หรือความชอบธรรมในการควบคุมทางสังคมต่างหาก
และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ไม่ว่าไวรัสจะมาจากไหนซึ่ง ณ วันนี้เราก็ยังไม่รู้ หรือจะมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องสูญเสียไปทั้งจากไวรัสโคโรนาและจากเศรษฐกิจที่ถดถอย หรือจะเกิดความขัดแย้งรูปแบบใหม่ โจทย์ทางจริยธรรม การเมือง สังคม การปกครอง หรือการควบคุมทางสังคม บทเรียนจากการเริ่มต้นทศวรรษที่สามของสหัสวรรษใหม่ น่าจะเป็นกรณีศึกษาสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ที่เมื่อมองย้อนกลับมาแล้วก็คงต้องตั้งคำถามว่า “What I’ve done?”
“In this farewell
There’s no blood, there’s no alibi
‘Cause I’ve drawn regret
From the truth of a thousand lies
So let mercy come and wash away
What I’ve done”
—What I’ve Done: Linkin Park
“ในการจากลานี้ ที่ไม่มีเลือดให้หลั่ง และไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ มีแต่ความเสียใจ จากความจริงของคำโกหกนับพัน ขอให้ความเมตตาจงกลับมา และลบล้างสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปเถิด”
อ้างอิง: