Start with Style EP.12 จัดสมดุลให้เหลือแค่เสื้อผ้าคุณภาพคับตู้ ส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อใจและดีด่อโลก

มีคำถามเข้ามาเยอะว่า เราจะสร้างความสมดุลในชีวิตการแต่งตัวได้อย่างไร ในเมื่อตลาดเสื้อผ้าเต็มไปด้วยฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ที่เข้ามาให้เราเลือกแทบจะนาทีต่อนาที และจบลงที่เราหลายๆ คนที่อ่านอยู่ในที่นี้มีเสื้อผ้าเต็มตู้แต่ไม่รู้จะหยิบชิ้นไหนขึ้นมาใส่ มากไปกว่านั้นคือเรามักจะคำถามวนอยู่ในหัวว่าเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายโลกหรือเปล่า เพราะจากข้อมูลต่างๆ ที่อ่านเจอ ธุรกิจฟาสต์แฟชั่นมีส่วนอย่างมากในการสร้างขยะและมลภาวะให้กับโลกใบนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องยอมรับว่าเรา (ยัง) หนีห่างจากฟาสต์แฟชั่นอย่างถาวรไม่ได้ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ความรีบเร่งและการทำงานที่ต้องใช้ความคิดและพลังงานมากมายเพื่อตั้งสติใช้เสื้อผ้าอย่างเกิดประโยชน์และเป็นโทษกับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

        คำถามก็ถือ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะทำยังไงให้เกิดบาลานซ์ของชีวิตในเรื่องนี้

        ย้อนไปตอนเด็กๆ ดิฉันจำได้ว่าคนใกล้ตัวอย่างคุณย่าหรือคุณแม่ ใช้วิธีการซื้อเสื้อผ้าด้วยการสั่งตัด พอมาทำงานในวงการแฟชั่น ดิฉันได้มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับเสื้อผ้าดีไซเนอร์แบรนด์ ได้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลัง ที่มาของงานดีไซน์ระดับโลกที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอย่างประมาณไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ตอนทำงานดิฉันก็ใช้บริการของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นหลายๆ แบรนด์ แม้ว่าครูสอนดีไซน์ที่อังกฤษจะบอกว่าพวกเขาไม่ให้คุณค่ากับการ ‘ก๊อบปี้’ งานที่กลั่นกรองจากมันสมองของดีไซเนอร์ระดับโลก ไม่ว่าเราจะมีมุมมองในเรื่องการแต่งตัวอย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามากกว่า 80% ของเสื้อผ้าในตู้ของเราเป็นพื้นที่ของเสื้อผ้าจากแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นเสียส่วนใหญ่ (และในที่นี้ ดิฉันนับรวมถึงเสื้อผ้าหลายพันแบรนด์ในอินสตาแกรมที่ซื้อมาทิ้งไปได้ราวกับมีมนตร์เสก) การปฏิเสธไม่ใช้เสื้อผ้าแนวฟาสต์แฟชั่นเลยอาจจะทำไม่ได้ในทันทีหรืออาจจะฟังดูสุดโต่งเกินไป สำหรับดิฉัน ส่วนตัวเองใช้วิธีบาลานซ์ด้วยการเลือกซื้อ เลือกใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด หลังจากที่ทำตามวิธีนี้มาร่วมสิบปี ดิฉันพบว่าเราสามารถสร้างตู้เสื้อผ้าที่มีประสิทธิภาพได้ ขณะเดียวกันก็สามารถสนุกกับการแต่งตัวหลากสไตล์ได้ไปพร้อมๆ กัน

ลงทุนกับชิ้นเบสิก

        หลายๆคนมีความเชื่อว่าชิ้นเบสิกอย่างเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์ เสื้อยืด ซื้อแบรนด์อะไรก็ได้ คุณภาพไม่ต้องดีมากก็ได้ แต่จากประสบการณ์การทำงานกับเสื้อผ้ามาเกือบยี่สิบปี ดิฉันพบว่าชิ้นเบสิกต่างหากที่เราควรจะต้องลงทุน และคำว่า ‘ลงทุน’ นี้ ดิฉันหมายถึงการลงทุนสั่งตัดหรือซื้อดีไซเนอร์แบรนด์ไปเลย เพราะการทำเสื้อผ้าชิ้นเบสิกให้ออกมาดีและดูแพงนั้นยากมาก เราจึงต้องใส่ใจกับคุณภาพ เช่น คัตติ้งและการตัดเย็บที่ดีมากๆ ที่เราสามารถเอามาใส่ซ้ำแล้วซ้ำอีกได้บ่อยๆ และใช้ได้ยาวๆ เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่สามารถทำลิสต์ไว้ได้เลยว่าจะเก็บเงินซื้อ ยิ่งซื้อตอนเซลล์จะคุ้มค่ามากๆ ดิฉันใช้วิธีนี้บ่อยๆ โดยเฉพาะกับเสื้อเชิ้ตขาว ในตู้ดิฉันจึงมีเชิ้ตขาวที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเยอะ ที่สำคัญคือนำไปใส่กับชิ้นไหนๆ ก็เกิดและไปได้ทุกสถานการณ์ค่ะ

ชิ้นสำคัญให้ตัด

       เสื้อผ้าบางชิ้นที่เราต้องการให้สื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์ หรือความเป็นมืออาชีพในตัวเรา ให้ใช้การวัดตัวตัด ที่จริงแล้ว เสื้อผ้า 80% ในตู้ของดิฉัน เป็นเสื้อผ้าตัดทั้งสิ้น ข้อดีของเสื้อผ้าตัดคือ 1. เราจะได้ความพอดีที่เข้ากับตัวเราและสามารถปรับทรง เลือกผ้าเพื่อแก้ไขรูปร่างให้ดูสวยสมส่วนมากขึ้น 2. คือเราจะได้สไตล์เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร 3. คุณภาพจากร้านตัดเย็บเสื้อผ้าดีๆ จะช่วยให้เราได้เสื้อผ้าเซตหนึ่งที่ใช้ได้ยาวนานไม่ต่างกับแบรนด์แพงๆ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีการลดขยะให้กับโลกแม้ว่ากระบวนการผลิตผ้าจะยังคงมีส่วนทำร้ายสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่การเย็บมือแทนเครื่องจักรก็มีส่วนช่วยในการลดมลภาวะได้นะคะ เสื้อผ้าที่ดิฉันมักจะแนะนำให้ตัดส่วนใหญ่จะเป็นคีย์พีซ เช่น สูทและเบลเซอร์ เสื้อเชิ้ตสำหรับผู้ชาย กางเกงทรงสอบหรือทรงคลาสสิก เพราะเราจะได้ความเป๊ะปังที่หาไม่ได้จากการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป

ออกแบบตู้เสื้อผ้าให้มีส่วนผสมระหว่างของมือสองกับของใช้วินเทจดูบ้าง

        ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะมีสมบัติผลัดกันชม มีช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตู้เสื้อผ้าของดิฉันเต็มไปด้วยชุดวินเทจทั้งราคาถูกและราคาแพงที่หาซื้อมาจากตลาดวินเทจทุกที่ที่ไป ข้อดีที่ดิฉันพบเกี่ยวกับเสื้อผ้าวินเทจก็คือเราจะได้การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร เพราะมีหนึ่งชิ้นในโลก รวมถึงคุณภาพก็ไม่ได้แย่จนเก่า ในทางตรงกันข้าม ถ้าเอามิกซ์แอนด์แมตช์ดีๆ เช่น เติมแอ็กเซสซอรีสวยๆ เสื้อผ้าวินเทจบางตัวก็ดูสวยราวกับชุดใหม่ และถ้าคุณโชคดี บางครั้งคุณจะได้เสื้อผ้าดีไซเนอร์ดังๆในราคาตัวละไม่ถึงหนึ่งพันบาทด้วยซ้ำ หรือถ้าใครไม่ใช่แนววินเทจ มีร้านเสื้อผ้าหลายร้านอินสตาแกรมที่ขายเสื้อผ้าใช้แล้วบางชิ้น เจ้าของเดิมใส่ไปไม่ถึง 5 ครั้ง และถ้าเลือกดีๆ คุณก็จะได้เสื้อผ้าแบรนด์ในราคาที่ดีงามเช่นเดียวกัน วิธีนี้ นอกจากจะช่วยให้คุณได้เสื้อผ้าเก๋ๆ สวยๆ แล้ว ยังเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างขยะใหม่แต่ใช้ของที่ถูกสร้างมาแล้วให้เป็นประโยชน์สูงสุด

จัดส่วนหนึ่งของตู้เสื้อผ้าให้มีส่วนผสมของแบรนด์รักษ์โลกหรือเนื้อผ้าที่เป็น Eco Friendly  

        ช่วงหลังมานี้ แม้แต่แบรนด์ที่เป็นฟาสต์แฟชั่นเองก็พยายามนำนวัตกรรมที่ช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อมมาใช้กับแบรนด์มากขึ้น อย่าง H&M เองก็มีแบรนด์ H&M Conscious โดยวัสดุที่นำมาผลิตทั้งหมดมาจากวัสดุรีไซเคิล หรือแม้กระทั่ง Zara ก็มีเนื้อผ้าที่เป็นออร์แกนิคต่างๆ สิ่งนี้ทำให้เราได้เห็นว่าวงการฟาสต์แฟชั่นก็ตื่นตัวและปรับตัวตามกระแสรักษ์โลกเช่นกัน นอกจากนี้ เราจะเห็นว่ามีแบรนด์อื่นๆ ผุดขึ้นมาในช่วงหลังนี้เยอะมาก ซึ่งล้วนดึงนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการทำเสื้อผ้า เช่น การย้อมสี หรือการใช้วัสดุรีไซเคิล หรือแม้กระทั่งการใช้เส้นใยธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าราคาอาจจะสูงกว่าเสื้อผ้าทั่วไปในตลาด แต่ถ้าเราสามารถบริหารการเงินให้เลือกช้อปปิ้งอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการเก็บเงินส่วนหนึ่งมาใช้ในส่วนนี้ นอกจากจะได้เสื้อผ้าที่มีคุณภาพแล้ว เรายังได้ความรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่เป็นส่วนเล็กๆ ในการทำเรื่องเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ด้วยค่ะ

ซื้อฟาสต์แฟชั่นแบบโฟกัสที่การใช้งานแทนราคา

        ดิฉันไม่ได้บอกว่าให้ซื้อเสื้อผ้าราคาสูง แต่การซื้อเสื้อผ้าราคาถูกๆ ในจำนวนเยอะๆ นอกจากจากจะสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุแล้ว ยังทำให้เราได้ขยะเต็มตู้อีกต่างหาก หลายๆคนอาจจะคิดว่าเสื้อผ้าแฟชั่นมาแล้วก็ไป ซื้อแพงๆ ไปไม่มีประโยชน์ ดิฉันอยากจะชวนให้ลองคิดอีกมุมว่า ถ้าเราแบ่งสัดส่วน ซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูกให้เหลือครึ่งหนึ่งของที่เคยซื้อแล้วทำเงินที่เหลือจากการซื้อเสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้งไปซื้อเสื้อผ้าที่ใส่ได้นานขึ้น เพื่อทำให้คุณสนุกกับการแต่งตัวได้หลายๆ แบบและใช้เสื้อผ้าที่ซื้อมานั้นจนคุ้ม มันจะให้ประโยชน์ต่อเงินที่เสียไปมากขึ้นแค่ไหน เช่น ถ้าเราซื้อเสื้อผ้าตัวละ 300 บาท 3 ตัว ราคารวมทั้งหมด 900 บาท แต่เราสามารถนำเงิน 900 บาท ไปซื้อเสื้อผ้าคุณภาพดีกว่าได้ 1 ชิ้น ที่จะช่วยให้เราใส่ได้นานกว่าและยืดเวลาการสร้างขยะให้นานขึ้น แถมใช้แล้ว อาจจะไปส่งต่อการใช้งานได้อีกเนื่องจากคุณภาพของสินค้ามีอายุยาวขึ้น ประมาณว่าเพิ่มเงินอีกนิดได้ได้ประโยชน์มากกว่าเงินที่เสียไป คุ้มค่าแล้วทั้งทางด้านเศรษฐกิจส่วนตัวและทางด้านจิตใจด้วย จริงไหมคะ

        ถ้าบาลานซ์ตู้เสื้อผ้าได้ตาม 5 วิธีนี้ พอทำไปเรื่อยๆ คุณจะเกิด Awareness คือการรู้ตัวมากขึ้นในทุกครั้งที่จะใช้เงินไปกับการซื้อเสื้อผ้า ผลลัพธ์ที่ได้มากกว่าการมีเสื้อผ้าที่มีคุณภาพคับจออยู่ในตู้คือการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้โลกนี้ดีขึ้น การทำในสิ่งเล็กๆ ที่จะส่งผลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุขเพราะคุณจะภูมิใจในตัวเอง จำได้ไหมคะ เสื้อผ้าที่เราใส่ ‘สื่อสาร’ ถึงความเป็นตัวเรามากที่สุด เราเริ่มจากจุดเล็กๆ ตรงนี้ รับรองว่าคุณจะเซอร์ไพรซ์กับผลที่ได้แน่นอน สำหรับดิฉัน ใช้เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นด้วยการทำสิ่งเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ในทุกๆวัน  

        เพราะสิ่งนั้นคือการขับเคลื่อนชีวิต ไม่ใช่ดูดีแค่ภายนอก แต่จะทำให้แสงสว่างภายในทำให้เราโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ไม่เหมือนใครแน่นอน


ภาพ: Unsplash, Getty Images