Start with Style

Start with Style EP.7: ‘อนุญาตให้หัวใจเชื่อมโยงกับสมอง’ ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ด้วยทฤษฎี 21 วัน

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่เราคุยกันเรื่อง Power of Self-Pampering มีคนอยากทราบอีกว่า จัดตู้ให้เวิร์ก นอกจากเคลียร์ของแล้วทำอะไรได้อีก เลยทำให้ดิฉันมานึกถึงเรื่อง Wardrobe Therapy ศาสตร์แห่งการบำบัดตัวเองด้วยการแต่งตัว

        อย่างที่บอกในทุกอีพีว่าการแต่งตัวไม่ใช่แค่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ให้ผ่านไปในแต่ละวัน แต่เราสามารถกำหนดเป้าหมายให้การแต่งตัวเพื่อช่วยเป็นใบเบิกทางให้เราก้าวสู่สิ่งที่ต้องการในชีวิตด้วยความรู้สึกมั่นใจและมั่นคงในตัวเอง มากไปกว่านั้น เราสามารถให้ความหมายและสื่อสารถึงตัวตนของเราให้คนอื่นได้รับรู้ ที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่สื่อสารกับคนอื่นนะคะ การแต่งตัวของเราเป็นหนึ่งในวิธีที่เราสื่อสารกับตัวเองเช่นเดียวกัน

        ลองสังเกตดูว่า ในช่วงเวลาที่เรากำลังรู้สึกไม่ค่อยดีนักเรามักจะไม่มีอารมณ์แต่งตัว หรือยกตัวอย่างเช่น ในวันที่เราทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้าน ชุดทำงานกับชุดอยู่บ้านที่แทบจะเป็นชุดเดียวกันจะค่อยๆ หลอมตัวเราไปกับความทิ้งตัวสบายๆ สบายแค่ทางกาย แต่ถ้าเกิดวันไหนที่ถูกกดดันจากการประชุมออนไลน์ วันนั้นแทบจะไม่อยากหยิบเสื้อผ้าอะไรมาใส่เลย เผลอๆ ก็หลับไปทั้งชุดนอนโดยที่ไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ แล้วคิดดูอีกนะคะว่าถ้าเราต้องอยู่บ้านหรือ work from home ไปอีกสักหนึ่งเดือน สภาพร่างกายและจิตใจของเราจะเป็นอย่างไร เราจะกลายเป็นคนนอนอืดๆ เหี่ยวๆ เหนื่อยๆ อยู่บนเตียงหรือเปล่า เราชินกับเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงานมั้ย ดิฉันเป็นนะคะ ช่วงทำงานอยู่กับบ้าน ถ้าวันไหนจะออกไปข้างนอกแล้วอยากแต่งตัวสวยๆ วูบแรกที่แต่งตัวเต็มยศ จะรู้สึกอีดอัดร่างกาย เพราะว่าไม่ชินกับเนื้อผ้าที่ใส่ไปข้างนอก เพราะเราชินกับผ้าย้วยผ้ายืดมาหลายวัน

        ด้วยเหตุนี้ ทำให้ดิฉันนึกถึง ‘ทฤษฎี 21 วัน’ หรือ ‘Maxwell Law’ ทฤษฎีนี้ว่าด้วยเรื่องการสร้างนิสัยที่ทำให้เราคุ้นชิน เป็นทฤษฎีที่คิดโดยศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน แม็กซ์เวลล์ มอลซ์ โดยเขาได้สังเกตว่า ผู้ที่เข้าทำศัลยกรรมกับเขาจะใช้เวลาทำความคุ้นชินกับใบหน้าใหม่หลังจากผ่าตัดไป 21 วัน ทฤษฎีนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหมู่โค้ชและนักพัฒนาตัวเอง โดยนำมาแปรเป็นหลักการในการกระตุ้นตัวเองว่า ถ้าอยากเปลี่ยนนิสัยใหม่ ให้ทำสิ่งนั้นต่อเนื่องกันทุกวัน เป็นเวลา 21 วัน สมองเราจะเกิดความเคยชิน ทำให้เราติดสิ่งนั้นและรู้สึกขาดมันไม่ได้ คำว่านิสัย หมายถึงทั้งมุมบวกและมุมลบ เพราะฉะนั้น ลองคิดดูสิคะ ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองชินกับภาพเราแต่งตัวโทรมๆเนือยๆ เหนื่อยๆ ติดต่อกันสัก 2-3 สัปดาห์ จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราบ้าง

        ในทางกลับกัน ถ้าเราใช้เวลาที่ต้องกักตัว ทำงานอยู่บ้าน พัฒนาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจจะไม่มีเวลาได้ทำช่วงที่ต้องทำงานนอกบ้านล่ะ จะเกิดผลลัพธ์แบบไหนกับตัวเราบ้าง อ่านมาถึงตรงนี้ เราลองมาท้าทายทฤษฎีของคุณหมอแม็กซ์เวลล์กันหน่อยไหมคะ เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่สุด ใช้อุปกรณ์แค่ 2 อย่าง คือเสื้อผ้าในตู้กับตัวคุณเอง แล้วทำตามขั้นตอนนี้เลยค่ะ

Start with Style

ตั้งคำถามที่สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง

        ไลฟ์โค้ชชื่อดังของโลก โทนี ร็อบบินส์ เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเราอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ผลท่ียั่งยืน เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะเปลี่ยนเพื่ออะไร ถ้าวัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนนั้นคมชัดและยิ่งใหญ่พอ เราจะลุกขึ้นมาทำโดยไม่อิดออดและจะทะลุทะลวงทุกข้ออ้างออกไปอย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือลองตั้งคำถามกับตัวเองและเขียนคำตอบออกมาให้ชัดเจนค่ะ เช่น “อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ฉันอยากลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนสไตล์ให้ตัวเอง” “ถ้าฉันปรับการแต่งตัวให้ฉันรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ฉันจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง” “ถ้ามีคนเห็นฉันเปลี่ยนการแต่งตัว ฉันดูดีขึ้น พวกเขาจะได้อะไร” “ฉันจะทำอะไรดีๆ เพิ่มได้อีกเมื่อฉันลุกขึ้นมาปรับหรือพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้” “ผลลัพธ์ที่ฉันต้องการจะเห็นจากการเปลี่ยนตัวเองของฉันคืออะไร” เมื่อเขียนคำตอบได้แล้ว ลองนั่งอ่านดูอีกทีว่าเรารู้สึกโอเคกับคำตอบนั้นหรือไม่ มีอะไรที่คุณจะเขียนเพิ่มได้อีกเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง แนะนำว่าให้ลิสต์ออกมาให้เยอะที่สุดก่อน แล้วค่อยเลือกคำตอบที่โดนที่สุดนะคะ

Start with Style

ทำคำตอบนั้นออกมาเป็นภาพ

        ภาษาอังกฤษเรียกว่า Visualization ลองเข้า Pinterest เลยค่ะ หาภาพที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว อารมณ์หรือความรู้สึกของเราหลังจากที่เราลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลงรายละเอียดแม้กระทั่งสถานที่ที่เราทำงาน เราอาศัยอยู่ในที่แบบไหน เราทำงานแบบไหน กิจกรรมที่เราจะทำมีอะไรบ้าง ความสัมพันธ์ที่เรามีกับตัวเองจะเป็นไปแบบไหน ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบตัวล่ะ บรรยากาศเป็นอย่างไร คุณอาจจะเลือกภาพที่ตรงกับความรู้สึกหรือโควตที่ชอบ คนที่ชื่นชอบ หรือภาพอะไรก็ได้ที่ตอบคำถามที่ตัวเองได้เขียนไว้ในข้อที่ 1 รวบรวมภาพต่างๆ มาตัดแปะลงบนกระดานหรือบอร์ดแผ่นใหญ่ๆ เมื่อแปะเสร็จ ลองสำรวจความรู้สึกตัวเองดูอีกทีนะคะว่าเราโอเคกับภาพที่เห็นตรงหน้าหรือไม่ ทำความรู้สึกเหมือนเรามีทุกอย่างในภาพนั้นแล้ว ถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ให้เวลากับตัวเองได้ซึมซับภาพเหล่านั้นเข้าไปในหัวใจ

Start with Style

สร้างสไตล์ใหม่ด้วยตัวเอง

        เมื่อคุณได้ภาพในข้อสอง ให้ลองจินตนาการว่าเราคนนั้นจะแต่งตัวแบบไหนในโอกาสไหน เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘Dress for the job you want, not the job you have’ (แต่งตัวให้เหมือนกับว่าเราทำงานที่เราต้องการ ไม่ใช่งานที่เรากำลังทำอยู่) ไหมคะ ใช้การแต่งตัวเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงตัวเราในวันนี้กับตัวเราในอนาคต ลองกำหนดโจทย์อย่างนี้ค่ะว่า เลือกเสื้อผ้าในตู้ที่เราจะใส่เมื่อเรามีและเป็นทุกอย่างในข้อสอง หยิบขึ้นมาใส่เลยวันนี้ ใช้โจทย์นี้กับตัวเองอย่างต่อเนื่องไป 21 วัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะถูกหรือผิด จะใช่หรือไม่ อนุญาตให้หัวใจเชื่อมโยงกับสมอง ให้ภาพที่เราเลือกช่วยเราสร้างสไตล์ในแบบที่เราต้องการ ข้อดีที่ควรทำช่วงนี้คือเรายังมีเวลาหยุดอยู่กับบ้าน เพราะฉะนั้น เราสามารถแต่งตัวแบบไหนก็ได้ที่เราต้องการ จะว่ามโนก็ได้นะคะ แต่เป็นการมโนภาพที่ดีมากๆ ใครอยากไปขั้นกว่า ลองกำหนดโอกาสให้ตัวเองไปเลย เช่น ขึ้นเวทีพรีเซนต์ พูดสร้างแรงบันดาลใจ สัมภาษณ์รายการ หรือแม้กระทั่งทำคลิปของตัวเอง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวัน หาไอเดียใหม่ๆ ให้กับเสื้อผ้าชิ้นเดิม โดยมีโจทย์ครอบเลยว่าถ้าเราแต่งตัวในแบบที่เราเห็นตัวเองแล้วจะตกหลุมรักหรือในแบบที่เราเห็นแล้วจะภูมิใจในตัวเองมากๆ เราจะอยู่ในชุดแบบไหน วันแรกๆ อาจจะงงๆ หน่อยนะคะว่าจะหยิบชิ้นไหนขึ้นมาใส่ดี แต่ดิฉันรับรองเลยว่าถ้าคุณทำต่อเนื่องทุกวัน วันหลังๆ คุณจะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาอย่างง่ายดาย ที่สำคัญคือเสื้อผ้ากับตัวคุณจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ใส่แล้วจะรู้สึกเหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจเลยล่ะค่ะ

        ทำทั้งสามข้อนี้ ทุกวันโดยเฉพาะข้อ 2 และข้อ 3 ทำความรู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เราเป็นคนคนนั้นแล้วจริงๆ ทำให้ต่อเนื่องทุกๆ วัน 21 วัน ไม่มีเว้นวันหยุด แล้วลองสังเกตความรู้สึกตัวเองในแต่ละวันดู ว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นไหม มีความสร้างสรรค์ให้กับตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า มีความสุขมากขึ้นไหม ถ่ายรูปตัวเองในแต่ละวันเก็บไว้ แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

        ยังไม่ต้องเชื่อดิฉันนะคะ แต่ขอให้ลองทำดู

        เราอยู่กับความรู้สึกเซ็งๆ เนือยๆ หรือกังวล (ฉันติดหรือยัง?) มานานเกินไปแล้ว ได้เวลาลุกขึ้นมาสดชื่นสดใส ส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ แล้วค่ะ

        หนึ่งคนเปลี่ยน โลกจะเปลี่ยน

        เริ่มต้นที่ตัวเรา ตอนนี้เลยค่ะ


ภาพ: Getty Images