Start with Style

Start with Style EP.6: ดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อฟื้นฟูพลังแห่งชีวิตและความสัมพันธ์

“Don’t be too hard on yourself” (อย่าโหดกับตัวเองมากนักเลย)

        โค้ชฝรั่งที่ดิฉันใช้บริการมาตลอดสี่เดือนกล่าวไว้ เมื่อดิฉันบอกกับเธอว่าช่วงนี้ดิฉันรู้สึกหมดพลังเนื่องจาก เหตุการณ์ต่างๆ ประดังประเด โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่ดิฉันเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่อ่านอยู่กำลังเป็นเหมือนกัน นั่นคือการทำทุกทางเพื่อให้เรามีชีวิตรอด และไม่ใช่แค่เรา แต่เป็นธุรกิจหรือการงานที่เราต้องหาเงินเพื่อมาหล่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ดิฉันไม่รู้ตัวเลยว่าช่วงเดือนที่ผ่านมาตัวเองมีความเครียดฝังลึกจากการทำคอร์สใหญ่ไม่ได้ และเมื่อล็อกดาวน์ แน่นอนว่าคอร์สตัวต่อตัวก็หดลงเช่นกัน ในอีกทางหนึ่ง ดิฉันก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ยอมลงทุนกับเรื่องของการพัฒนาตัวเอง จ้างโค้ชส่วนตัวเพื่อช่วยให้เราได้เห็นหนทางเมื่อเกิดการติดขัดทางธุรกิจ หนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือดิฉันรู้สึกเหนื่อยกับการ ‘หาทาง’ ที่จะหารายได้ จนรู้สึกหมดพลัง เมื่อโค้ชของดิฉันพูดสิ่งนี้ขึ้นมา ดิฉันจึงได้มารู้สึกตัวว่า เรากำลัง ‘โหด’ กับตัวเองมากเกินไปจริงๆ

        ดิฉันเริ่มมานั่งคิดว่า นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ปรนเปรอตัวเองในแบบที่เราเคยเป็น ดิฉันเคยเป็นคนประเภทที่ชอบแต่งตัวสวยๆ ให้ตัวเองได้ภูมิใจเวลาที่เห็นตัวเองในกระจก ดิฉันเคยเป็นคนที่ชอบไปสปาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบาย ดิฉันเคยเป็นคนมีความสุขกับการรับประทานอาหารอะไรก็ได้ที่เราชอบโดยไม่ต้องคำนึงถึงคำว่าอ้วนหรือผอม และดิฉันเคยมีความสุขกับการนั่งแช่บนโซฟา ฟังเพลงหรือดูซีรีส์เรื่องโปรดวนๆ ซ้ำไปมาแม้ว่าจะดูเป็นรอบที่ 50 แต่… เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เราต้องลุกขึ้นมาแข็งแกร่ง เราค่อยๆ ลดทอนกิจกรรมที่ตัวเองชอบไป แล้วแทนที่มันด้วยการตั้งเป้าหมาย ลงมือทำ หารายได้ เดินหน้าเข้าสู้เป้าหมายที่ต้องการอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อมาถึงช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแบบนี้ ด้วยสื่อที่เราเสพ ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้เราลืมความรื่นรมย์ในชีวิตไปหมดสิ้น และแปลกนะคะ ยิ่งเราพยายามมากเท่าไหร่ที่จะลืมตาอ้าปาก เรายิ่งหมดพลังและเหมือนจะจมลงไปใต้ท้องทะเลมากขึ้นเท่านั้น

        หลังจากจบ session การโค้ชวันนั้น ดิฉันหันกลับมามองดูตัวเอง ดิฉันรักในสิ่งที่ตัวเองทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสอน การโค้ชหรือการเขียน ส่วนหนึ่งคือเราโชคดีที่มีคนเห็นในแพสชันของเราและยอมจ้างเราเพื่อให้เราทำในสิ่งที่เรารัก อีกส่วนหนึ่งดิฉันคิดว่านี่คือทางที่เราเลือกเอง แต่เราจะติดกับดักตรงนี้ค่ะ ยิ่งเป็นทางที่เราเลือก หรือทางที่เราชอบ เราจะยิ่งทุ่มๆๆ จนลืมตัวเองไปได้เช่นเดียวกัน หลังจากการพูดคุยวันนั้น ดิฉันจึงเริ่มทำ routine ใหม่ ที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้นในช่วงเวลายากๆ แบบนี้ และดิฉันคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกท่านที่อ่านแล้วก็กำลังรู้สึกเหมือนกัน สิ่งนี้เรียกว่า ‘Power of Self-Pampering’ หรือพลังแห่งการดูแลตัวเอง ดิฉันเริ่มหาข้อมูลเรื่องนี้และพบว่าการดูแลตัวเองเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเรากับตัวเราโดยตรง และแน่นอนว่าเมื่อเราเริ่มความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างจะดีขึ้นเช่นกัน ดิฉันลองทำตามวิธีง่ายๆ เหล่านี้ และพบว่ามันช่วยให้เราผ่อนคลายตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นมาก ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆ ก็ดีขึ้นอีกเช่นกันค่ะ เลยอยากขออนุญาตมาลองแบ่งปันกันดูนะคะ

Start with Style

        ทำสมาธิ: การเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับตัวเองเริ่มจากภายใน เพราะฉะนั้น เหล่ากูรูทั้งหลายจึงเริ่มให้ทำ Self Pampering ด้วยการทำสมาธิ สำหรับผู้เริ่มต้น ลองใช้เวลาสัก 10-15 นาทีในการอยู่กับลมหายใจ อาจจะเปิดเพลงเบาๆ จากยูทูบ (เสิร์ชคำว่า meditation music) แล้วปล่อยตัวปล่อยใจให้ผ่อนคลาย ความกังวลใดๆ ที่ผุดขึ้นมา ความคิดใดๆ ที่ผุดขึ้นมาก็แค่รู้แล้วปล่อยไป อยู่แต่กับลมหายใจปัจจุบัน ในหนังสือ The Power of Now ของ เอคาร์ต ทอเลอ บอกไว้ว่า คนเรามักจะเสียเวลาในแต่ละนาทีไปกับความกังวลอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น หรืออดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่การอยู่กับปัจจุบันคือเวลาที่เราจะได้ ‘มีชีวิต’ เห็นคุณค่าของเวลาที่เรามีอย่างแท้จริง ที่สำคัญการมีสติอยู่กับปัจจุบันจะทำให้เราสามารถวางกลยุทธ์ให้กับตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยค่ะ

        ออกกำลังกายในแบบที่เราชอบ: แน่นอน เรารู้เรื่องนี้ แต่ช่วงเวลาที่เรารู้สึกอยากปรนเปรอตัวเอง ดิฉันขอแนะนำว่า จงออกกำลังกายในแบบที่ชอบ ย้ำว่า ‘ในแบบที่เราชอบ’ ยาวนานแค่ไหนก็ได้ ลืมกฎเกณฑ์ใดๆ ไปก่อนว่าออกกำลังกายเท่านั้นเท่านี้ จะเบิร์นได้มากน้อยแค่ไหน เช่น เราอาจจะเปิดยูทูบเพื่อทำพิลาทิสสัก 10 นาทีแล้วค่อยไปเต้นซุมบ้า หรืออาจจะโยคะแบบชิลๆ ยาวๆ ไปสักครึ่งชั่วโมง หรืออาจจะเปิดดูมิวสิกวิดีโอที่เราเคยชอบแล้วลองเต้นตาม ออกไปเดินเล่น หรือแม้กระทั่งการลุกขึ้นมาจัดบ้านถูบ้านก็นับนะคะ การออกกำลังกายหรือใช้ร่างกายในการทำบางสิ่งบางอย่าง เป็นหนึ่งในอุบายเชิงจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนอารมณ์หรือ Change State ที่สามารถทำได้ทันที และอีกทางหนึ่งคืออย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าเมื่อต่อมอะดรีนาลินหลั่งจะช่วยทำให้เรารู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

Start with Style

        ดูแลร่างกาย: ทำโฮมสปาแบบเล็กๆ ที่ให้เราได้มีส่วนในการดูแลร่างกายตัวเอง ขอบอกว่าคุณผู้ชายก็ทำได้เช่นกันนะคะ การดูแลร่างกายตัวเองเป็นการส่งสัญญาณถึงจิตใจภายใน เพราะเมื่อเราเริ่มหันมาใส่ใจร่างกาย หมายถึงการที่เราเริ่มทำให้ตัวเองรู้สึกดี และแน่นอนว่าเมื่อเรารู้สึกดี คนรอบข้างก็จะสัมผัสได้เช่นกัน ในส่วนตัวดิฉันเองเริ่มจากการขัดตัวเลยค่ะ ปกติเป็นคนไม่ได้มีสครับอยู่ที่บ้านเพราะชอบไปร้านมากกว่า แต่ช่วงหลังที่มาเป็นสื่อ เริ่มมีแบรนด์ส่งของมาให้ ดิฉันเก็บไว้ไม่ได้ใช้ จนช่วงนี้แหละค่ะก็เริ่มค้นออกมาขัดตัว อาบน้ำ นวดตัว สระผม หมักผม ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำให้นานๆ เปิดเพลง จุดเทียน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบ ใครมีอ่างอาบน้ำ แนะนำว่าแช่ไปเลย น้ำอุ่นนี่แหละ ดีที่สุด การดูแลร่างกายแบบเต็มแพ็กเกจนี้ไม่ต้องทำทุกวันถ้าไม่มีเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้ลองทำทุกวันคือ Skin Care Routine ใช้เวลาในการทาครีมที่ตัวหรือผิวหน้าให้นานขึ้น นวดเบาๆ และทำความรู้สึกดีๆ ให้ตัวเองเวลาทาครีม ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังบรรจงทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ร่างกายของเรา ลองทำแบบนี้ทุกวัน รับรองว่าคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทั้งกับร่างกายและจิตใจแน่นอนค่ะ

Start with Style

        เลือกรับประทานอาหารโดยการ ‘ฟัง’ เสียงจากร่างกาย: ดิฉันกำลังคุมน้ำหนัก แต่ดิฉันไม่สามารถเลือกการรับประทานอาหารแบบคีโต แบบคลีน หรือแบบใดๆ ได้ 100% ช่วงที่ผ่านมาดิฉันคุมอาหารด้วยการจำกัด เวลาการรับประทานอาหารและจำกัดแคลอรีต่อวัน ซึ่งสำหรับตัวเองแล้วถือว่าค่อนข้างโอเค แม้ไม่เห็นผลฮวบฮาบแต่ก็ทำให้หน้าท้องที่เคยมียุบลงได้ ในช่วงที่ล็อกดาวน์ดิฉันพบว่าในบางวันที่เราเครียด การคุมอาหารยิ่งผลักให้เราเผชิญหน้ากับปากเหว ผลก็คือความรู้สึกหงุดหงิดและพาลเมื่ออยู่นอกเวลาที่ไม่ได้รับประทานอาหาร ดิฉันเริ่มใช้วิธีบาลานซ์ด้วยการฟังเสียงร่างกายตัวเอง เช่น ในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลียหรือเครียด ดิฉันอนุญาตให้ตัวเองสั่งโกโก้เข้มข้นหวานน้อยมาดื่มแทนกาแฟดำที่ดื่มเป็นประจำ อนุญาตให้ตัวเองทานบิสกิตช็อกโกแลต และแครกเกอร์ทูนาสเปรดใส่มายองเนสและชีส แต่ทั้งหมดนี้คือจะกินช่วงเช้า ดิฉันอนุญาตให้ตัวเองยืดเวลารับประทานอาหารออกไปอีกหนึ่งชั่วโมง แต่แทนที่จะอัดขนม ดิฉันเลือกเป็นข้าวต้ม ซุป หรือผัดผักแทน การฟังเสียงความต้องการของร่างกายอย่างมีสติ ทำให้เรามีสติในการรับประทานอาหารและไม่ ‘โหด’ กับตัวเองในเรื่องนี้มากเกินไป หลังจากทำมาได้สองสามวัน ดิฉันรู้สึกดีและเครียดน้อยลง แนะนำให้ทำแบบนี้สลับกับการคุมน้ำหนักหรือแม้กระทั่งคนที่รับประทานอาหารตามปกติ ฟังเสียงคนอื่นให้น้อยลง ฟังเสียงร่างกายของเราให้มากขึ้น บาลานซ์ได้ ความสุขก็จะเกิดจากตรงนี้ค่ะ

Start with Style

        ให้เวลาตัวเอง 30 นาที ในการเสพสื่อที่ช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง: ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ ดูคลิป อะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกได้แรงบันดาลใจ ดิฉันเป็นคนไม่ค่อยทำอาหาร แต่ช่วงนี้ดิฉันพบว่าคลิปของ เจมี โอลิเวอร์ สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองมากๆ (ใช่ค่ะ ดิฉันช้าไปสิบปีในเรื่องนี้) บางวันที่ดิฉันรู้สึกหงอย ดิฉันก็เปิดฟังพวกคลิปที่ช่วยกระตุ้นให้รู้สึกมีพลังมากขึ้น บางวันก็อ่านหนังสือเชิงจิตวิทยาที่เราสนใจ การให้เวลาตัวเองเพียง 30 นาทีสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง โดยไม่ต้องคำนึงว่าสิ่งที่เรากำลังศึกษาจะเป็นประโยชน์ต่องานของเราหรือเปล่า คือการให้อาหารทางจิตใจจะทำให้เราเติบโตจากภายในโดยไม่รู้ตัว และ เวลาเพียงแค่ 30 นาทีที่ต่อเนื่องกันทุกวันจะทำให้คุณสร้างขุมทรัพย์ภายในที่มีคุณค่ามหาศาลให้กับตัวเองในระยะยาวค่ะ

        ทั้งหมดนี้คือพลังของการดูแลตัวเองที่จะช่วยให้คุณดูดีจากภายนอกและงดงามจากภายใน และเมื่อไหร่ที่เราได้เริ่มลองทำแม้เพียงครั้งเดียว คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่โดยไม่รู้ตัว ดิฉันลองแล้ว อยากให้คุณได้สัมผัสความรู้สึกนั้นเช่นเดียวกัน

        เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ


ภาพ: Getty Images