Start with Style EP.18: The Colour of Power สื่อสารด้วยสี เพิ่มพลังในชีวิตประจำวันให้ตัวเองได้ง่ายๆ

เคยสงสัยไหม ทำไมตารางแต่งตัวตามสีประจำวัน ทำไมถึงฮิตกันนักหนา

        ก็เพราะว่าจิตวิทยาสีมีผลต่อจิตใจของเรายังไงล่ะคะ ดิฉันเคยคุยกับหลายๆ คนที่แต่งตัวตามตารางสีอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครเคยพิสูจน์อย่างจริงจังหรอกว่าวันไหนใส่สีกาลกิณี แล้วชีวิตในวันนั้นจะพังไหม แต่… ทุกคนเชื่อว่าวันจะพัง เพราะมันคือกาลกิณี และเมื่อเราเชื่อว่ามันพัง มันจะพังค่ะคุณ เพราะมันคือสิ่งที่เราบอกตัวเองย้ำๆ ซ้ำๆ ตลอดเวลา

        ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความคิดในทุกขณะจิตที่เราพร่ำฝังลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา ในทางตรงกันข้าม ถ้าวันไหนเราใช้สีที่เป็นเดช เป็นอำนาจไปพรีเซนต์งาน มันมักจะผ่านฉลุย เพราะอะไร ก็เพราะว่าเรารู้สึกมั่นใจยังไงล่ะคะ และเราก็ฝังความรู้สึกนั้นเข้าไปในจิตของเราเช่นกัน

        ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้จะมาตอกย้ำตารางสี แต่จะมาเล่าให้ฟังว่าจิตวิทยาสีมีผลต่อจิตใจของมนุษย์มายาวนาน จนกลายมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่กระตุ้นให้สินค้าหรือแบรนด์เติบโตแบบทะลุเป้ามาแล้วแบบนับไม่ถ้วน Start with Style ในตอนนี้ ดิฉันจึงขอนำเสนอเรื่องการใช้สี ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับสิ่งต่างๆ ในชีวิตตั้งแต่การเลือกเสื้อผ้า มุมโปรด ไปจนถึงห้องต่างๆในบ้านหรือออฟฟิศค่ะ

        ทฤษฎีการใช้สีในหลายๆ วงการมักจะเชื่อมโยงสีกับความรู็สึกไปในทางที่คล้ายๆ กัน เวลาให้คำปรึกษาลูกค้า ดิฉันมักจะแนะนำให้เลือกใช้ ‘สี’ เป็นหนึ่งโจทย์ในการแต่งตัว เมื่อรู้สึกว่าวันนี้เปิดตู้เสื้อผ้ามาแล้วไม่มีอะไรจะใส่ วิธีการก็คือให้เขาสำรวจความรู้สึกของตัวเองในวันนั้นรวมถึงกิจกรรมที่เขาจะทำ คนที่เขาจะไปเจอ แล้วให้เลือกว่าจะใช้สีในการ ‘สื่อสาร’ ความรู้สึกอะไร ในทางทฤษฎี สีมีผลต่อความรู้สึก ดิฉันเพิ่งได้อ่านบทความหนึ่งบทความที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ verywellmind.com ที่เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า ในปี 1666 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เซอร์ไอแซค นิวตันได้ค้นพบว่าเมื่อสีแสงสีขาวส่องผ่านปริซึม แสงจะกระจายตัวออกเป็นสีต่างๆ จากการค้นพบครั้งนี้ นิวตันพบว่า สีแต่ละสีมีคลื่นที่เชื่อมโยงกันและแยกจากกันไม่ได้ เรื่องนี้นำไปสู่การทดลองหลายๆ อย่างที่พิสูจน์ว่าแสงสามารถช่วยให้เกิดการผสมสีโดยธรรมชาติ เช่น แสงสีแดงเมื่อผสมกับแสงสีเหลืองจะทำให้เกิดแสงสีส้ม รวมถึงสีบางสีเมื่อรวมตัวกันจะกลายเป็นสีขาวคล้ายแสง ทฤษฎีนี้เชื่อมโยงกับทฤษฎีการผสมสีในเชิงศิลปะ ที่แบ่งแม่สีออกเป็นสามสีคือแดง เหลือง น้ำเงิน และเมื่อนำมาผสมกันจึงเกิดเป็นสีต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ส่วนตัวดิฉันเองมาสายศิลปะ และเมื่อมาเรียนจิตวิทยาสีตอนเรียนเรื่องแต่งตัว ดิฉันพบว่าเราสามารถใช้ทฤษฎีสีมาเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันเพื่อสร้างบรรยากาศ หรือยกระดับความรู้สึกของตัวเองอย่างง่ายๆ ด้วยการเชื่อมโยงสีกับความรู้สึก ยกตัวอย่างจากการแต่งตัวเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เช่น ถ้าวันไหนรู้สึกหมอง หรือหม่นๆ ให้หลึกเลี่ยงสีดำ สีเทา หรือสีน้ำตาล (แม้กระทั่งสีฟ้าและสีน้ำเงิน) เพราะนอกจากจะส่งผลต่อการ ‘สื่อสาร’ ของเรากับผู้อื่นแล้ว ยังส่งผลต่อความรู้สึกของเราให้ยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง ดิฉันลองรวบรวมสีต่างๆ ที่มีผลต่อความรู้สึกแบบชัดๆ มาให้อ่านกัน เป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกกับสีที่ใช้ได้ในหลายๆ เรื่องเลยค่ะ

        สีแดง ในการแต่งตัวสีแดงคือพลัง เรามักจะแนะนำให้ลูกค้าใช้สีแดงในสถานการณ์ที่ต้องการเรียกพลัง ขณะเดียวกัน สีแดงสดๆ ก็ส่งผลต่อความรู้สึก ทำให้รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องเผชิญหน้า ในเชิงจิตวิทยา สีแดงใช้เป็นกระตุ้นความรู้สึก แสดงถึงแพสชันรุนแรง นอกจากนี้ สีแดงยังสื่อถึงโชคลาภและความรุ่งเรือง ถ้าอยากใช้สีแดงในเชิง positive คือให้พลังแต่ไม่อยากรู้สึกเยอะจนเกินไป ให้ใช้สีแดงแบบหยอดๆ เช่น ถ้าการแต่งตัวก็ใช่สีแดงกับรองเท้าหรือกระเป๋า หรือ เนกไท เป็นต้น ถ้าเป็นบ้านหรือออฟฟิศเราสามารถผสมลายที่มีสีแดงบนหมอนหรือพรมเพื่อเพิ่มสีสันให้ดูสว่างสดใส กระจายตัวไปในมุมต่างๆเพื่อเชื่อมโยงกับความรู้สึกมีพลังให้กับตัวเองได้

        สีเหลือง สีเหลืองคือความสดใส เป็นสีที่กระตุ้นให้เรามีความต้องการในสิ่งต่างๆ เรามักจะใช้สีเหลืองในเวลาที่ต้องการรู้สึกสว่างสดชื่น หรือต้องการความโดดเด่นแต่ยังมีความ Friendly ลองสังเกตดูสิคะ หลายๆ คนมักจะเลือกเสื้อผ้าสีเหลืองมากกว่าสีแดง (ในหลายๆ เฉด เช่น เหลืองสด มากกว่าแดงสด เหลืองมัสตาร์ดมากกว่าแดงเลือดหมู) เพราะเราจะรู้สึกว่าสีเหลืองให้ความรู้สึกเด็กกว่า ขณะเดียวกัน แม้ว่าสีเหลืองจะกระตุ้นความรู้สึกอยากอาหารได้แต่การใช้สีเหลืองในห้องอาหารก็สร้างความรู้สึกกดดันให้กับเราได้เช่นกันค่ะ

        สีส้ม เชื่อมโยงกับความรู้สึกสนุก กระตุ้นให้อยากทำกิจกรรมต่างๆ แต่ความน่าแปลกของสีส้มคือ ถ้าอยู่บนเสื้อผ้าจะทำให้คนใส่ดูดร็อป คือไม่มีสง่าราศี นอกจากนี้สีส้มยังไม่ค่อยถูกนำมาใช้ในสเกลใหญ่ๆ เนื่องจากเป็นสีที่ทำให้ดูไม่แพงหรือมีความน่าเข้าหาน้อยลง

        สีฟ้า สีฟ้าคือความจงรักภักดี สื่อถึงความรู้สึกสงบสบาย ในขณะเดียวกันสีฟ้าบางเฉดก็สื่อถึงความเศร้า หรือความรู้สึกจิตตกในการแต่งตัว เฉดฟ้าเข้มหรือน้ำเงิน บอกถึงความน่าเชื่อถือ ดิฉันมักจะคุยกับลูกค้าเล่นๆ ว่าถ้าไปกู้ธนาคารลองแต่งตัวเรียบๆ แล้วใช้เฉดสีน้ำเงินดู เพราะจะทำให้ดูน่าเชื่อถือและอาจจะปิดดีลได้ง่ายขึ้น ในเชิงของการแต่งบ้าน มักจะมีการแนะนำให้ใช้สีฟ้าในห้องอาหารหรือห้องทำงานแทนที่จะเป็นห้องนอน เพราะสีฟ้าจะสร้างบรรยากาศให้เรารู้สึกอยากทำงานหรืออยากอาหารโดยที่เราไม่รู้ตัว

        สีเขียว สีเขียวสื่อถึงความสงบ เรียบง่าย ดิฉันไม่ค่อยใช้สีเขียวกับลูกค้าผู้หญิงในชีวิตประจำวัน เพราะมันจะทำให้พวกเธอดูน่าเบื่อเกินไป หรือไม่ก็ให้ใช้เขียวมรกตแบบฟาดๆ เวลาไปงานไปเลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นลูกค้าผู้ชายดิฉันจะให้ใช้สีเขียวหัวเป็ด (เขียวตุ่น) หรือเขียวออกพาสเทล ไปจนถึงเขียวทหาร เพราะสีเขียวเหล่านี้สื่อถึงความอบอุ่น เข้าถึงง่าย ขณะเดียวกันก็มีความหนักแน่นที่แฝงอยู่ ที่สำคัญคือพอเอาสีเขียวเหล่านี้ไปแมตช์กับสีอื่นๆ เช่น ขาว เทา ดำ น้ำเงิน หรือเฉดพาสเทลอื่นๆ จะช่วยให้การแต่งตัวของเขาดูมีเสน่ห์ขึ้นทันที ในส่วนของการแต่งบ้าน สีเขียวอ่อนๆ ออกพาสเทลหรือผสมเทาอ่อนๆ จะช่วยให้รู้สึกสบายใจ เหมาะกับการใช้ในห้องรับแขกหรือห้องนอน ถ้าใครไม่ชอบสีเขียวแต่อยากมีความรู้สึกแบบนี้ ใช้ต้นไม้ทดแทนได้เลยทันที จะรู้สึกชิลสบายจนไม่อยากเดินออกไปไหนเลยล่ะ

        สีม่วง สื่อถึงความมั่นใจ แต่เป็นความมั่นใจที่ไม่สนใจ แปลง่ายๆ ว่ามั่นมากๆ ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกของความสง่างามแฝงอยู่ค่ะ ในเชิงจิตวิทยา สีม่วงยังส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย

        สีดำ สื่อถึงความลึกลับ ความน่าเชื่อถือ ความสง่างามและความเศร้าหมอง สำหรับดิฉัน สีดำเป็นสีที่มีเสน่ห์มากๆ เพราะสามารถสื่อสารได้หลายอารมณ์แล้วแต่ประสบการณ์เฉพาะบุคคล ส่วนใหญ่เวลาแนะนำลูกค้า ดิฉันมักจะให้ใช้สีดำในเชิงของความเป็นมืออาชีพ แต่จะให้เบรกความแรงของสีดำ ด้วยการหยอดสีอื่นๆ ที่เพิ่มความสง่างามมากขึ้น เช่น ผู้หญิงจะแนะนำให้เพิ่มสีทองหรือเมทัลลิก ส่วนผู้ชายจะให้แมตช์กับเทา หรือเฉดพาสเทลเพื่อทำให้ดูอ่อนโยนแต่ยังดูมั่นใจและมั่นคง

        สีขาว สีขาวมักจะสื่อไปถึงความบริสุทธิ์ ความสงบ ความฉลาดทางอารมณ์หรือการค้นพบอะไรบางอย่าง สีขาวเป็นอีกหนึ่งสีที่ดิฉันนำมาใช้สื่อถึงความเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะกับผู้หญิง ดิฉันมักจะเลือกสูทหรือเบลเซอร์สีขาวให้ลูกค้าผู้หญิง เพราะเป็นชิ้นที่มีพลังแต่ไม่ดูดุดันจนเกินไปถ้าเทียบกับสูทสีเทา เอาไว้ใช้ในโอกาสการประชุมที่มีความสบายขึ้นมาหน่อยแต่ยังต้องการความเป็นมืออาชีพอยู่ สีขาวออกครีมมักถูกนำมาใช้ในการแต่งบ้านเพื่อให้รู้สึกอบอุ่น ในขณะที่ถ้าใช้สีขาวแบบขาวปกติจะทำให้รู้สึกจากบ้านกลายเป็นโรงพยาบาลทันที ในการแต่งบ้านจึงมักจะผสมขาวให้ออกครีมแล้วหยอดสีต่างๆ บนเฟอร์นิเจอร์เพื่อตกแต่งให้ออกมาตามคาแรกเตอร์ของเจ้าของบ้านเพื่อให้บ้านดูมีชีวิต

        นอกจากนี้สียังช่วงเสริมให้บุคลิกภาพของคุณให้ดูโดดเด่นขึ้น หรือให้ดูแรงน้อยลงด้วยนะคะ อ่านบทความนี้จบ ดิฉันหวังว่าคุณจะมองสีในมุมมองที่แตกต่างออกไป สามารถใช้จิตวิทยาสีในการเลือกที่จะสื่อสารตัวเองและสิ่งรอบตัวอันประกอบขึ้นมาเป็นคาแรกเตอร์ของคุณให้ชัดขึ้น ถ้าใช้กลยุทธ์นี้ทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ไปเรื่อยๆ ทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ จะทำให้เกิดสไตล์ส่วนตัวที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ค่ะ

        เพราะสไตล์ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตที่เรา ‘เลือกกำหนดเอง’  ค่ะ


ภาพ: Unsplash, Pexels