Start with Style EP.20: ทิ้งอดีตและเผชิญหน้ากับปัจจุบัน ทำชีวิตดีขึ้นได้ด้วยการหันกลับมาเข้าใจตัวเอง

เคยกันไหมคะ บางครั้งเราสื่อสารอะไรกับใครทำไมเขาฟังไม่เข้าใจสักที หรือบางทีเจอใครบางคนทำไมเราหงุดหงิดกับการสื่อสารกับเขาเหลือเกิน หรือบางครั้งเราก็เบื่อเสียงในหัวที่คอยวิจารณ์ตัวเอง เราอยากจะปิดเสียงนั้นแต่ก็ทำไม่ได้

        กี่ครั้งแล้วที่เราปล่อยให้ความรู้สึกบางอย่าง คนบางคน หรือเสียงบางเสียงมาสกัดกั้นไม่ให้เรารู้สึกมีความสุขหรือทำในสิ่งที่เราอยากทำ การแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ เหล่านี้คือการกลับมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง เพราะนั่นคือที่มาของการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ส่วนตัวของดิฉัน มีโอกาสได้เรียนเรื่องนี้ในเชิงลึก เรียกว่าการกลับมาเข้าใจที่ Core Motivation หรือความต้องการเบื้องลึกในจิตใจของเรา การรู้ถึง Core Motivation นั้นสำคัญมาก เพราะว่ามนุษย์เรามีระบบความคิดความเชื่อที่ฝังรากลึกมาแต่ไหนแต่ไร การเข้าใจว่าอะไรที่เป็นความต้องการเบื้องลึกที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำบางอย่างที่เราทำมาตลอดชีวิต เปรียบเสมือนเป็น Wake up call หรือสัญญาณเตือน ให้เราได้ตื่นขึ้นมาเพื่อพัฒนาไม่ให้ทำตามสัญชาตญาณแห่งความกลัวหรือความเชื่อเดิมๆ ที่สกัดกั้นไม่ให้เราเติบโต การตื่นรู้เพื่อพัฒนา ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ทำให้เรามีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข แต่เป็นการทำให้เรามีชีวิตรอดจากสถานการณ์อันหนักหน่วงหลายๆ สถานการณ์ สิ่งที่เราต้องทำก็คือต้องฝึกรู้ตัวว่าเรากำลังทำบางสิ่งบางอย่างเพื่ออะไร มันอาจจะยากที่จะยอมรับในช่วงแรกๆ สำหรับมือใหม่หัดดูใจตัวเอง แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเมื่อทำความรู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ คุณจะพบกับสันติสุขในตัวเองที่ไม่เคยมีมาก่อน และแน่นอนว่าเมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน

ทิ้งอดีตและเผชิญหน้ากับปัจจุบัน

        สิ่งสำคัญของการก้าวข้ามผ่านทุกอุปสรรคและความเจ็บปวดคือการยอมรับตัวเองทั้งในจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนา เราทุกคนล้วนมีเรื่องราวบางอย่างที่เรา ‘ตีความ’ เอาไว้ตั้งแต่อดีต เรามีเรื่องบางเรื่องที่เราซ่อนเก็บไว้ในใจแบบลึกๆ เป็นพื้นที่ที่เราไม่อยากให้ใครเข้าไปแตะแม้แต่ตัวของเราเอง แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็รบกวนจิตใจเรา หรือพาเราไปสู่กับดักทางพฤติกรรมบางอย่าง หรือแม้แต่หลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับเรื่องเก่าๆ ในหนังสือ The Wisdom of Enneagram หนังสือเกี่ยวกับ Enneagram หรือนพลักษณ์ ศาสตร์แห่งการพัฒนาตัวเองที่ว่าด้วยเรื่องการแบ่งบุคลิกภาพของคนออกเป็น 9 ประเภท ได้เล่าเรื่องการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและเรื่องยากๆ ในชีวิตว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะการก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดและความกลัวคือการกลับมาสังเกตความรู้สึกตัวเองและเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความรู้สึก ณ ขณะนั้น พูดง่ายๆ ก็คือว่า ไม่ว่าเราจะเจอกับอดีตแบบไหน สิ่งที่เราทำได้ง่ายที่สุดคือเริ่มต้น เริ่มต้นที่จะให้คุณค่ากับตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราเกิดความเคารพตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกของเรา เพราะความรู้สึกภายในส่งผลต่อการเลือกนำเสนอตัวเองจากภายนอกเสมอ ถ้าต้องการเปลี่ยนบุคลิกท่าทาง การแต่งตัว ไปจนถึงความสัมพันธ์กับภายนอก เราจึงต้องเลือกพัฒนาภายในของเราก่อน ทำอย่างไรได้บ้าง ลองเริ่มจากสิ่งเหล่านี้ดูนะคะ

ยอมรับตัวเองด้วยความรักและความจริงใจ

        มนุษย์ทุกคนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง เคยไหมคะที่เราอาจจะไม่ชอบบางสิ่งบางอย่างในตัวเองและพยายามปกปิดมันไว้ ทุกครั้งที่ได้เผยสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเอง เราอาจจะรู้สึกไม่ชอบ โกรธหรือรำคาญใจในตัวเอง จนพาลให้เราแผ่รังสีอำมหิตไปสู่ผู้อื่นเช่นกัน วิธีแรกที่จะทำให้เรากลับมารักตัวเองคือยอมรับตัวเองอย่างจริงใจและไม่ตัดสินตัวเอง ดิฉันมักจะให้ลูกค้าเขียนจุดเด่นและจุดที่ต้องพัฒนาในตัวเองออกมาอย่างละ 5 ข้อ เขียนตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เราเห็นจุดเด่นและจุดที่ต้องพัฒนาให้ชัดเจน ในส่วนของจุดเด่น เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำให้มันโดดเด่นหรือสื่อสารออกไปให้คนเข้าใจมากขึ้น ในขณะที่การเขียนถึงจุดที่ต้องพัฒนา จะทำให้เรามีสติและรู้ตัวมากขึ้น การเขียนวิเคราะห์แบบนี้จะทำให้เราเห็นตัวเองในมุมกว้าง ยอมรับตัวเองมากขึ้นและตัดสินคนอื่นน้อยลงเช่นกัน

ฝึกการอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกแย่ๆ โดยไม่ตัดสินหรือผลักไสออกไป

        มนุษย์เรามีทั้ง Feminine Energy และ  Masculine Energy อยู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม เมื่อเรารู้สึกมั่นใจหรือมั่นคง นั้นคือ Masculine Energy ซึ่งส่วนใหญ่เราจะชอบอยู่กับพลังงานนั้น ในขณะที่เมื่อเรารู้สึกไม่มั่นใจ รู้สึกเศร้า รู้สึกสั่นคลอน นั่นคือ Feminine Energy ซึ่งเป็นอีกหนึ่งฝั่งที่อยู่ในตัวเราทุกคน แต่ลองสังเกตตัวเองดูนะคะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกไม่มั่นใจ หรือไม่มั่นคงซึ่งเป็นเวลาที่ Feminine Energy เข้ามามีบทบาทมากกว่า Masculine Energy ซึ่งเราส่วนใหญ่ ไม่ชอบความรู้สึกนั้น และพยายามที่จะปฏิเสธหรือปัดมันออกไป วิธีการก็คือเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกไม่มั่นคงหรือไม่มั่นใจ ให้เราเพียงแค่รับรู้ว่านี่คือพลังงานอีกฝั่งของเรา และไม่พยายามปฏิเสธ พูดง่ายๆ ว่ายอมรับความรู้สึกแย่ๆ มองว่ามันเป็นเพียงแค่พลังงานหนึ่งในตัวเรา และค่อยๆ ให้เวลาตัวเองในการหาทางออก การยอมรับและฝึกอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้น ‘อย่างเป็นมิตร’ จะช่วยให้เรารู้สึกสงบกับตัวเองมากขึ้น และในความสงบ เราอาจจะเจอทางออกที่มองหาในที่สุด

เขียนปัญหาและแจกแจงออกมาว่าเราจะดีลกับปัญหาเหล่านั้นด้วยมายด์เซตแบบไหน

        ในทาง coaching เราเชื่อว่าระบบความคิดหรือความเชื่อของเราที่ส่งผลให้เรามีมุมมองต่อการกระทำต่างๆ นั้น เกิดจากการตีความหรือความเข้าใจตั้งแต่สมัยเรายังเป็นเด็ก ซึ่งความเชื่อหรือการตีความเหล่านั้น อาจจะถูกส่งต่อมาจากครอบครัวหรือคนที่เราใกล้ชิดด้วย หนึ่งส่ิงที่โค้ชมักจะแนะนำให้ทำคือให้กลับไปทำความเข้าใจเรื่องนั้นด้วยความรู้และประสบการณ์ของตัวเราในวัยนี้ การเขียนออกมาจะทำให้เรามองเห็นปัญหาในมุมของบุคคลที่สามซึ่งจะทำให้เราเข้าใจปัญหามากขึ้น โดยเขียนออกมาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการตีความของเราว่าอะไร การตีความเหล่านี้เกิดขึ้นตอนไหน และเราจะ reframe หรือเปลี่ยนมุมมองในเรื่องนี้ไปในทางไหนได้บ้าง (บนพื้นฐานประสบการณ์ของเราที่เติบโตขึ้นหรือมองให้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์มากขึ้น) เช่น สมมติคนคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องการบริหารการเงิน เพราะเขาไม่เคยได้รับการสอนเรื่องการบริหารการเงิน ไม่เคยเห็นตัวอย่างจากครอบครัว และเรื่องการเงินอาจจะเป็นหนึ่งประเด็นขัดแย้งในครอบครัว ทำให้คนคนนั้นไม่สามารถจัดการกับการเงินตัวเองได้ มีเท่าไหร่ใช้ให้หมด เพราะเขาไม่มีความรู้และความเข้าใจรวมถึงความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับการเงิน สิ่งที่เขาต้องทำก็คือให้ identify หรือเขียนออกมาให้ชัดเจนว่าปัญหาคืออะไร เช่น 1. ไม่มีความรู้ด้านการจัดการเงิน 2. เชื่อมโยงความรู้สึกเชิงลบเกี่ยวกับการเงิน 3. ทุกครั้งที่ใช้เงินจะรู้สึกมีความสุขชั่วขณะ

        ขณะเดียวกันก็กลับมารู้สึกผิดเมื่อใช้เงินเกิน เมื่อเขียนปัญหาออกแล้วแล้ว ให้เขียนมุมมองใหม่ พร้อมทางออก เช่น 

        1. ไม่มีความรู้ด้านการจัดการเรื่องการเงิน เป็นเรื่องจริง แก้ไขได้โดยการหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อใช้แก้ปัญหาการเงินที่กำลังเกิดขึ้น

        2. ความรู้สึกเชิงลบเกี่ยวกับการเงิน แก้ไขได้โดยถามตัวเองว่าประสบการณ์ที่รับรู้เกี่ยวกับการเงิน เช่น เงินเป็นปัญหาความขัดแย้งในบ้าน เป็นปัญหาของใคร เป็นความเชื่อของใคร อาจจะเป็นของที่บ้าน หรืออาจจะเป็นการตีความของเราเอง ไม่ว่าความรู้สึกเชิงลบนั้นจะมาจากไหน เวลานี้เราผ่านมันไปแล้ว และให้เขียนมุมมองใหม่ของตัวเองที่เรามีต่อเรื่องนี้ ตั้งแต่วันนี้และวันต่อๆ ไป เพื่อ reset แล้วตั้งมายด์เซตใหม่ให้ตัวเอง

        3. กำจัดความรู้สึกผิดด้วยการวางแผนและขอบคุณตัวเองที่ลุกขึ้นมาตั้งใจจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ อาจจะไม่ทำให้ดีขึ้นวันนี้เลยแต่จะค่อยๆ ดีขึ้นถ้าเราตั้งใจพัฒนาเรื่องนี้จริงๆ ใครมีปัญหาเรื่องอื่นๆ ก็ทำในลักษณ์เดียวกันนี้ได้นะคะ เขียนเสร็จ ปัญหาไม่หายแต่ใจเราโล่งสบายขึ้นแน่นอน

        สามข้อนี้ดิฉันใช้ฝึกตัวเองทุกวันมาหลายปีแล้ว แน่นอนมันไม่ได้ราบรื่น และในบางวันดิฉันก็ติดกับดักอดีตและจมปลักอยู่กับเสียงวิจารณ์ตัวเอง ความกลัวการถูกตัดสิน หรือความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าถ้าได้ลองทำ คุณจะรู้สึกสงบสุขกับตัวเองมากขึ้น เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองจริงๆ แบบที่ว่าถ้าวันนี้เรารู้สึกว่าไม่มีใครช่วยเราเลย เราก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะเราจะยืนอยู่ข้างๆ ตัวเอง ประคับประคองตัวเอง ทั้งฉุด ทั้งดึง ทั้งลาก ทั้งโอบกอดตัวเองจนผ่านช่วงเวลาแย่ๆ ไปได้ในที่สุด

        ทุกวันอาจจะไม่ได้อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่ก็ไม่มีใครนั่งอยู่ปากเหวได้ตลอดไปเหมือนกัน

        ลองทำดูนะคะ ดิฉันเชื่อว่าคุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน และเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น คุณจะกลายร่างเป็นคนที่มีความสุข ดูมีเสน่ห์ โดดเด่น น่าอยู่ใกล้ ทั้งภายนอกและภายในอย่างแน่นอน

        ความสัมพันธ์กับตัวเองดีขึ้นเมื่อไหร่ ความสัมพันธ์กับใกล้ชิดก็จะดีขึ้นเมื่อนั้นค่ะ


ภาพ: Unsplash