Coronabae

Coronabae: เมื่อฉันหลงรักความสัมพันธ์ (ชั่วคราว) ท่ามกลางไวรัสโคโรนา

“ไม่รู้เหมือนกันว่าผมใช้หน้าร้อนเดือนเมษายนปีนี้ทิ้งขว้างไปมากขนาดไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพังกับความสัมพันธ์แปลกๆ กินเวลานานกว่าหนึ่งเดือนไปเสียแล้ว”

        เรื่องราวทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นเหมือนกับอีกหลายคนบนโลก ที่ต้องเผชิญกับไวรัสเจ้ากรรมที่ระบาดไปทั้งเมือง จนทำให้ทุกอย่างต้องหยุดตัวลง แน่นอนว่ารวมไปถึงบริษัทของเราที่มีนโยบายให้ต้องทำงานที่บ้าน หรือ WFH (ใครจะขยายความตัวย่อนี้อย่างไรก็ได้)  และแน่นอน ไวรัสเจ้ากรรมก็ไม่ได้ทำให้ชายจิตใจดิบห่ามอย่างผมต้องเกรงกลัวแม้แต่น้อย ในช่วงแรกที่ไวรัสเริ่มระบาดและผู้คนเริ่มตื่นกลัวกันบ้างแล้ว ผมยังคงทำตัวหูทวนลมต่อข่าวการแพร่ระบาดของไวรัส ออกไปชมภาพยนตร์ ณ โรงหนัง ไปท่องเที่ยวยามราตรีเพียงลำพัง (เพราะสหายคนอื่นเริ่มหวาดกลัวกันแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าไวรัสหรือผมกันแน่ที่ทำให้หวาดกลัว) แต่ทุกความใจเด็ดของผมก็ต้องล้มเลิกไปเมื่อโรงภาพยนตร์และบาร์ลับเจ้ากรรมดันต้องปิดตัวลงตามมาตรการของผู้ปกครองในประเทศเช่นกัน

        ในวันที่ 26 มีนาคม ผมจึงตัดสินใจลาขาดทุกอย่าง และขดตัวเองอยู่ในห้องตลอดเวลา

อาทิตย์ที่ 1 ของเดือนเมษายน

        ในช่วงสัปดาห์แรก ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับพรจากธรรมชาติ ที่สามารถใช้เวลาขยายการพักผ่อนได้มากกว่าปกติ สามารถใช้โปรโมชันจากบริการฟู้ดเดลิเวอรีที่พากันหั่นราคาจนสามารถซื้ออาหารเจ้าดังที่ไม่คิดจะกินมาก่อนได้ ที่สำคัญ ยังมาเสิร์ฟกันถึงหน้าประตูห้องอีก อะไรจะสบายขนาดนี้ รวมไปถึงสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักได้มากขึ้น

        แต่ผมจะใช้เวลาพวกนี้ไปกับอะไรล่ะ ในเมื่อชีวิตที่ลุ่มหลงห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีลำแสงฉายภาพเคลื่อนไหวอย่างโรงหนัง และสถานที่แสงขมุกขมัว กลิ่นสาบของยีสต์และกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจมูกอย่างบาร์ ได้จางหายไปจากชีวิตของผมอย่างเด็ดขาด 

        ความเฉากัดกินผมอยู่นานหลายวัน จนเมื่อใจเริ่มด้านชาพอแล้วจึงได้จัดตารางชีวิตใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังเช่นที่ไลฟ์โค้ชบางคนเคยบอกไว้ว่า “ช่วงเวลาแบบนี้ ถ้ามึงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร มึงก็โง่แล้ว” ผมเริ่มจัดสรรเวลางานให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนช่วงเย็น จากนั้นจึงใช้เวลาช่วงค่ำคืนถึงเช้าดื่มด่ำกับความบันเทิงในห้องอย่างสุขสันต์… เพียงลำพัง 

 

coronabae

 

        ในวันที่อยากมองท้องฟ้า ผมอนุญาตให้การเดินทางของเบียร์สด เฟดเฟ่ ในหนังสือ SOLO ห้าวเป้ง… หิมาลัย ช่วยพาผมเดินทางไปดูพระอาทิตย์ที่เนปาล

        ในวันที่รู้สึกว่าเศร้าหมอง ผมให้ดวงตาอันแตกร้าวของตัวละครชารียาในหนังสือ ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ของ วีรพร นิติประภา อยู่เป็นเพื่อนร้องไห้ด้วยกันจนเผลอหลับไป

        ในวันที่โหยความรู้สึกของมนุษย์ ผมอนุญาตให้คู่พระ-นางจากหนังเรื่อง Breakfast at Tiffany’s ช่วยให้ผมสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของความสัมพันธ์

        ในวันที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ผมอนุญาตให้คุณยายในหนังเรื่อง Tokyo Story ช่วยสอนให้เข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อ

        และในวันที่รู้สึกเปลี่ยวเหงา ผมเริ่มกลับไปพูดคุยกับเพื่อนบนโลกออนไลน์ จนตัดสินใจทักใครคนหนึ่งไป

อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเมษายน

        โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผมที่เปลี่ยวเหงา แต่อีกหลายคนก็กำลังบำบัดความเหงาอยู่บนโลกออนไลน์ที่กำลังครึกครื้นด้วยแอพพลิเคชันที่บังคับให้เต้นกันจนแขนขาแทบหลุดอย่าง TikTok หรืออินสตาแกรมสตอรี ที่มีชาเลนจ์มากมายให้ผู้คนเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน รวมถึงผมที่เข้าไปขอให้ใครคนหนึ่งแนะนำหนังให้ดูเรื่องหนึ่ง หลังจากที่เธอตั้งโพลคำถามที่ใช้ชื่อว่า ’30 things you can ask me’

 

coronabae

 

        เธอแนะนำหนังคลีเชชื่อดังอย่าง Call Me by Your Name (2017) มาให้ ซึ่งแน่นอนว่าชายร่างใหญ่ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงหนังเหมือนบ้านหลังที่สองอย่างผม ย่อมเคยได้ทัศนาความสัมพันธ์ของเอลิโอและโอลิเวอร์มาก่อนแล้ว ผมจึงชวนเธอคุยด้วยการแนะนำหนังเกี่ยวกับความรักที่ชั่วคราวเหมือนกันอย่าง Once และ Lost in Translation เธอน้อมรับไว้แต่โดยดี และให้คำมั่นว่าจะดูสองเรื่องนี้ต่อทันทีในวันถัดไป

        การสนทนาออนไลน์เป็นไปอย่างเรียบง่าย เชื่องช้า แต่รู้สึกอุ่นใจอยู่เสมอคล้ายกับว่ามีใครอยู่ข้างๆ ตลอด แม้จะไม่ได้ส่งข้อความหากัน ผมใช้เวลาในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายนคุยกับเธอมากกว่าใครอื่น ทุกเช้าเธอจะเป็นคนปลุกผมให้ตื่นมาประชุมออนไลน์ให้ทันในแต่ละวัน ส่วนเธอจะไปทำงานในส่วนของเธอ ตัวผมเองเมื่อประชุมเสร็จก็จะสะสางงานต่อ ก่อนที่ประมาณบ่ายสาม เราจะใช้เวลา 1 ชั่วโมงที่เหลือ วิดีโอคอลเพื่อกินข้าวพร้อมกับเธอที่เพิ่งทำงานเสร็จเหมือนกัน จากนั้นพวกเราก็จะแยกย้ายกันไปทำกิจวัตรกันต่อ โดยเธอจะใช้เวลาหมดไปกับการเล่นเกม Final Fantasy VII Remake ที่เพิ่งซื้อมาเพื่อแก้เหงาในช่วงเวลานี้โดยเฉพาะ 

        พวกเราจะได้พบเจอกันอีกทีผ่านตัวอักษรคือหลังหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป เมื่อผมเลิกงานและไปออกกำลังกายมาเรียบร้อย ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาของการพูดคุยกันอย่างจริงจัง ผลัดกันแลกเปลี่ยนในสิ่งที่หลงใหล เธอชอบเล่าถึงความรักต่อศิลปินเกาหลีคนหนึ่งที่ผมเองก็เพิ่งได้รู้จักผ่านเธอเป็นครั้งแรก และเพิ่งเคยเห็นหน้าผ่านภาพถ่ายที่เธอโชว์ให้ดูตอนที่ไปคอนเสิร์ตของเขาคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง ส่วนตัวผมเองก็จะเป็นคอยทำหน้าที่ผู้รับข้อมูลที่ดี และเป็นผู้ให้ที่ดีในบางครั้ง เมื่อเธอขอให้ผมส่งเพลงที่ชื่นชอบไปเก็บอยู่ในคลังเพลงโปรดในสตรีมมิง Spotify ของเธอเองบ้าง

        ผมแนะนำเพลง Magic Ways ของ ทัตสุโระ ยามาชิตะ ซึ่งเธอก็พูดกับผมตามตรงถึงความไม่เข้าใจต่อดนตรี City Pop กับเสียงร้องกว้างแหลมของ ทัตสุโระ ยามาชิตะ ผมต้องการสื่ออะไรกับเธอกันแน่

 

The way you whisper in my ear 

To make my troubles disappear

It’s magic

.

.

And when you smile at me that way 

Well you can warm the coldest day

 It’s magic

 

        ผมใช้ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ผ่านตัวอักษรในช่องแชตและการโทรศัพท์หากัน จนกลายเป็นบ้านของหัวใจอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ เหตุผลที่มันไม่ได้อันดับ 1 เป็นเพราะตำแหน่งผู้ชนะตกอยู่กับแอพพลิเคชัน Zoom ที่ผมใช้วิดีโอคอลกับเธออยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งเธอบอกว่า เธอยังคงลืมอดีตคนรักเก่าไม่ได้

อาทิตย์ที่ 3 ของเดือนเมษายน

        ในช่วงอาทิตย์สุดท้าย ผมใช้เวลาไปกับการรับฟังปัญหาชีวิตของเธอตั้งแต่ต้นจนจบ คล้ายกับว่าผมเป็นอีกหนึ่งตัวละครในความสัมพันธ์ที่ทำหน้าที่ยืนดูเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดๆ และเธอยังบอกต่ออีกว่า หลายครั้งในเดือนเมษายน เธอยังคงกลับไปติดต่อกับชายหนุ่มผู้บีบสลายหัวใจของเธออยู่บ่อยครั้ง 

        ผมใช้เวลาหลังจากเธอเข้านอนที่มักจะเร็วกว่าผมเสมอ มานั่งทบทวนผ่านการจิบเบียร์คราฟต์ราคาแพงที่ซื้อกักตุนเอาไว้ก่อนที่รัฐบาลจะแปะป้ายว่าเป็นหนึ่งในผู้ร้ายที่ทำให้โลกตอนนี้ย่ำแย่ลง ผมเริ่มลำดับความคิดตัวเองไปเรื่อยๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของตัวเองกันแน่ ทำไมผมถึงเสียใจเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้คุยกับเราคนเดียว ทำไมถึงรู้สึกเสียใจที่เขาให้ความสำคัญและมอบความอาลัยอาวรณ์ให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมกำลังอกหักอยู่เหรอ? หรือว่าผมชอบเธอคนนั้นเข้าแล้ว?

        หรือผมแค่กลัวว่า เวทมนตร์ของ ทัตสุโระ ยามาชิตะ ที่ช่วยให้บทสนทนาระหว่างเราประคับประคองหัวใจอันเหี่ยวเฉาของผมได้ร่วมเดือนนั้นจะจางหายไปตลอดกาล

อาทิตย์ที่ 4 ของเดือนเมษายน

        ทุกวันนี้ผมยังคงคุยกับเธอคนนั้นอยู่ โดยเธอเองก็ยังยินดีที่จะปลุกผมในตอนเช้า กินข้าวกับผมในช่วงบ่าย และพูดคุยกับผมในช่วงดึก คงจะมีแต่ผมเองที่มองเห็นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหมือนทุกอย่างเหมือนหยุดไว้ในวันที่เธอเริ่มพูดถึงคนรักเก่า เหมือนเพลงอีกมากมายที่เธอยังไม่เคยได้เปิดฟังทั้งที่ผมเลือกโดยกลั่นมาจากหัวใจ เหมือนหนังเรื่อง Once และ Lost in Translation ที่เธอไม่มีวันจะได้เปิดดู และเหมือนตัวผมเองที่รู้ตัวว่า ในอีกไม่ช้าบทสนทนาและความสัมพันธ์ของเราจะต้องจบลง

 

coronabae

 

        แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ ‘ผมได้ค้นพบว่าตัวเองหลงใหลความสัมพันธ์ที่จับต้องไม่ได้อย่างจริงจัง’ ผมเคยเป็นคนเกลียดการดูหนังบนเตียงผ่านหน้าจอโทรศัพท์ กลับหลงใหลในการเลือกหนังจากอินเทอร์เน็ตมาพิสมัยในยามค่ำคืน ผมไม่เคยเชื่อว่าการกินเบียร์ที่ขาดบทสนทนาดีๆ กับคนรอบข้างจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความสุข แต่ผมกลับรู้สึกสุขใจอยู่บ่อยครั้งเมื่อต้องกินเบียร์ระหว่างการดู Vlog ของยูทูเบอร์ชื่อดังผ่านหน้าจอคอมเพียงลำพัง 

        ผมที่ไม่เคยเชื่อว่าคนเราจะรู้สึกดีกับคนที่ไม่เคยได้เจอหน้ากัน จะรู้สึกจริงใจต่อความสัมพันธ์ขนาดนี้ได้ แต่สุดท้ายผมกลับยินดีที่ได้เสพสุขเพียงแค่ชั่วคราว และยอมรับว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นพร้อมจะยุติลงเมื่อทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ เหมือนกับว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อยู่ในห้องของผมที่ใช้กักตัวในหน้าร้อนช่วงเดือนเมษายน เป็นความสัมพันธ์ ‘Coronabae’ ที่ช่างจอมปลอมและชั่วคราว 

        Coronabae เกิดจากการผสมระหว่างคำว่า Corona กับ Babe อันเป็นชื่อของไวรัสและชื่อเรียกของคู่รัก ซึ่งทั้งหมดสื่อความหมายถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ไวรัสแพร่เข้าไปในจิตใจผู้คนจนเหี่ยวเฉา จนต้องหาใครสักคนมาห่อหุ้มหัวใจ โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากความรัก ความเหงา หรือความเปราะบางของหัวใจในช่วงเวลาแบบนี้กันแน่

        และความสัมพันธ์ที่ก่อร่างจากการสนทนาในเดือนเมษายนกำลังคืบคลานไปสู่เดือนพฤษภาคมท่ามกลางไวรัส Coronabae ที่กำลังระบาดไปทั่วเมือง… และในหัวใจของผมเช่นกัน