เราจะไม่แพ้

คำผกา: เราจะไม่แพ้ ‘ไวรัส’

ในหน้าเฟซบุ๊กมีคนแชร์ข้อเขียนหนึ่งมาและฉันก็กวาดสายตาอ่านผ่านๆ ข้อเขียนนั้นว่าด้วย ‘มีแต่คนพารานอยด์เท่านั้นที่จะรอด’ รายละเอียดว่าด้วยการระแวดระวังมิให้ตัวเองต้องติดเชื้อ COVID-19 เรื่องใหญ่ใจความคืออย่าประมาท อย่าดูเบา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ อย่าคิดว่ามันไกลตัว อย่าคิดว่าเราแข็งแรง เราไม่ติดหรอก

        การพารานอยด์ไว้ก่อนมีตั้งแต่เรื่องใส่หน้ากาก, การล้างมือ, การหลีกเลี่ยงการหยิบจับสิ่งต่างๆ ที่เสี่ยงจะมีเชื้อไวรัส เช่น ราวบันได ราวจับบนรถไฟฟ้า ไปจนถึงการกินอาหารนอกบ้าน อันอาหารนั้นต้องผ่านมือคนตั้งเยอะตั้งแยะ โดยที่เราไม่มีวันรู้เลยว่าในสายพานการลำเลียงอาหารจากครัวสู่เรา ผ่านใครที่เป็นพาหะบ้าง ฯลฯ

        ฉันอ่านด้วยความรู้สึกว่า ข้อเขียนนี้เขียนมาเพื่อคนอย่างฉันโดยเฉพาะ เพราะฉันเป็นคนจะเรียกว่า ‘ประมาท’ ก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการติดเชื้อไวรัส ที่มันค่อนข้าง ‘ลึกลับ’ ลองเทียบกับกรณีฝุ่น PM 2.5 ที่หากเราไม่ใส่หน้ากากในวันที่ค่า PM มันขึ้นสูง เราจะรู้สึกถึงผลกระทบทันที เช่น แสบตา เหนียวน้ำลายที่คอ รู้สึกมีเสมหะ หายใจลำบาก หรือแม้กระทั่งได้เสียง ‘หอบ’ ในลมหายใจ อันไม่น่าเกิดขึ้นในคนที่ร่างกายแข็งแร็ง ไม่ได้เป็นหอบหืด

        แต่ไวรัสเป็นสิ่งที่เราไม่มีวันรู้เลยว่า ณ ขณะนี้มันอยู่ที่ไหน อย่างไร ตรงไหนจะเป็นจุดแจ็กพอตที่เราจะไปสัมผัสมันเข้า หรือทุกมนุษย์ที่อยู่รายล้อมเรามีใครไปสัมผัส หรือไปอยู่ใกล้ชิดกับใครมา เพิ่งเดินทางกลับจากที่ไหน หรือแม้ไม่ได้มาจากประเทศที่มีการระบาด แต่ในไฟลต์บินที่เขานั่งมาอาจมีคนที่มาจากประเทศที่มีการระบาดนั่งมาด้วย – ใครจะไปรู้

 

        ดังนั้น การระแวดระวังป้องกันไวรัสจึงมีแค่สองทางที่ extreme คือนอยด์ให้สุดทาง หรือป้องกันเท่าที่ทำได้แล้วปลง

        ป้องกันเท่าที่ทำได้สำหรับฉันคือ ทุกครั้งที่ใส่หน้ากาก สำหรับฉันถือว่าใส่เพื่อกันฝุ่นพิษ เพราะทำใจว่าต่อให้เราใส่หน้ากากอย่างมากมาย แต่เราก็อาจได้ไวรัสจากช่องทางอื่นได้อยู่นั่นเอง และหากวันไหนอากาศดี ฉันเลือกที่จะไม่ใส่หน้ากาก โดยเฉพาะในยามที่อยู่กลางแจ้ง อากาศถ่ายเท ฉันรู้สึกว่าการไม่มีหน้ากากให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและสะอาดกว่า

        ล้างมือให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ – อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เป็นเรื่องที่ทำตามคำแนะนำได้เลย

        กินอาหารร้อนๆ ปรุงใหม่ๆ – อันนี้ก็พอทำได้ เช่น แทนการกินข้าวแกงแบบตักราด ก็เลือกกินอาหารตามสั่งที่ต้มผัดมาใหม่ๆ

        พกช้อนส้อมของตัวเองเวลาไปกินข้าวนอกบ้าน – อันนี้ยากไปสำหรับฉัน คิดว่าถ้าจะต้องทำถึงขนาดนั้น ยอมกินข้าวที่บ้านและงดกินอาหารนอกบ้านไปเลยดีกว่า แต่ขอหมายเหตุไว้ว่า ในสังคมที่มีวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบ เช่น ญี่ปุ่น การพกตะเกียบส่วนตัว ทำกันอย่างเป็นปกติ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเป็นช้อนส้อม ฉันมีคำถามว่า ถ้าพกไป กินเสร็จแล้วช้อนส้อมนั้นไม่ได้ล้าง แค่เช็ดๆ แล้วเก็บไว้ในกระเป๋า ต่อให้อยู่ในกล่องหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ให้ความรู้สึกแหยะๆ อยู่ดี ณ จุดนี้ ถ้ากลัวการติดโรคจากการใช้ช้อนส้อมร่วมกับคนอื่น การกินข้าวเหนียวด้วยมืออาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในกรณีที่ล้างมือสะอาด

        ลดกิจกรรมที่ต้องอยู่ในห้องที่ไม่มีการระบายอากาศร่วมกับคนจำนวนมาก เช่น โรงมหรสพต่างๆ

        กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ – โคตรเชย – แต่ถามว่าจะให้ทำอะไรได้มากกว่าไหม?

        ในเมื่อยังต้องทำทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างน้อยที่สุดคือการออกไปทำงาน นั่นแปลว่าต้องนั่งรถแท็กซี่หรือใช้รถสาธารณะ ยังต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะ ยังต้องกินข้าวนอกบ้านบ้าง ยังต้องไปซื้อของ ไปห้างสรรพสินค้า และสำคัญที่สุดสำหรับคนไม่ชอบอยู่นิ่งแบบฉัน สิ่งที่จะทำให้ฉันตายจริงๆ อาจจะไม่ใช่ไวรัส แต่คือการไม่ได้ออกจากบ้าน ไม่ได้เห็นแสงแดด ไม่ได้เจอผู้คน ไม่ได้ไปตลาด

        พูดให้ถึงที่สุดคือ สิ่งที่จะทำให้ฉันตายได้อย่างง่ายดายคือการที่จะต้องมีชีวิตอยู่แบบคนกลัวตาย

        และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในประเทศไทย ระดับการป้องกันจากภาครัฐมันล้มเหลวมาตั้งแต่ต้นมือ เช่น ในขณะที่ประเทศจีนเริ่มปิดเมืองอย่างซีเรียส เรากลับปล่อยให้ท่องเที่ยวจีนเข้ามาอย่างปราศจากความ ‘นอยด์’ ด้วยกังวลเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยว หลังจากนั้นเรายังมีมาตรการเลือกเข้มงวดกวดขันแบบแปลกๆ เช่น พาแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ไปกักตัว แต่ไม่กักตัวคนอื่นๆ ที่มาจากเกาหลีใต้ในช่วงเดียวกัน รวมไปถึงคนไฮโซที่มาจากญี่ปุ่น หรือใครต่อใครที่มาจากยุโรป อิตาลี ซึ่งเกิดการระบาดอย่างหนักไม่แพ้กลุ่มประเทศตะวันออกไกล

        พิจารณาจากมาตรฐานการควบคุมป้องกันการระบาดโดยรัฐแบบนี้ ฉันคิดว่ามันสายเกินไปและเปล่าประโยชน์เกินไปที่เราจะ ‘นอยด์’ กับตัวเองเรื่องจะติดเชื้อ COVID-19 เพราะถ้ามากันขนาดนี้ ฉันคิดว่าไวรัสนี้จะอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งเท่าๆ กับการติดไข้หวัดทั่วไปแล้ว ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อระหว่างคนนอยด์มากกับคนนอยด์น้อยน่าจะพอๆ กัน

 

        ฉันจึงตัดสินใจตกผลึกกับตัวเองว่า ‘ฉันจะไม่หยุดแสวงหาความสุข’ และฉันจะ minimalized การป้องกันตนเองจากเชื้อ COVID-19 แค่

        หนึ่ง—ไม่เดินทางไปต่างประเทศ

        สอง—กินอาหารปรุงใหม่

        สาม—ล้างมือด้วยสบู่ให้บ่อยที่สุด ส่วนแอลกอฮอล์นั้นช่างมัน

        สี่—ใช้ช้อนกลาง

        ห้า—ถ้าไม่เพื่อป้องกันฝุ่นพิษ จะใส่หน้ากากเฉพาะในสถานที่ซึ่งไม่มีอากาศถ่ายเท

        นอกเหนือจากห้าข้อนี้ ขอปวารณาตัวใช้ชีวิตอย่างปกติ ออกจากบ้าน ใช้รถสาธารณะ ไปโยคะ (ซึ่งใช้เสื่อ บล็อก อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกับคนอื่น) ไปทำงาน แต่งหน้ากับช่างแต่งหน้าของช่อง ใช้อุปกรณ์แต่งหน้าร่วมกับคนอื่นตามปกติ ดื่มน้ำ ชา กาแฟ จากแก้วน้ำที่เป็นของส่วนกลางและผ่านการทำความสะอาดแล้วตามปกติ กินข้าวในโรงอาหาร ร้านอาหารตามปกติ นัดเจอผู้คนตามปกติ ออกกำลังกาย กินข้าวเยอะๆ นอนหลับให้เพียงพอ (นอยด์มากระวังนอนไม่หลับ ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ) ดื่มไวน์ทุกคืนก่อนนอนตามปกติ

 

        ต้องกักตุนอาหารไหม?

        เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับฉัน เพราะต่อให้ไม่มีภัยพิบัติหรือโรคระบาด ห้องครัวของฉันมีอาหารสดและแห้งเพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างน้อยหกเดือนอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว 

        ทำไมฉันมีอาหารในบ้านมากขนาดนั้น เช่น มีข้าวสารไม่ต่ำว่า 50 กิโลกรัม ไหนจะเกลือ น้ำตาล อีกนับ 10 กิโลกรัม น้ำปลาเกือบ 30 ขวด

        ฉันไม่ได้ตั้งใจกักตุนอาหาร แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของการ organized ชีวิตอันแสนปกติสามัญของฉันมาเนิ่นนาน

        เล่าไว้เป็นน้ำจิ้ม ตอนหน้าจะมาเขียนเรื่องการทำบ้านให้เป็นประหนึ่งร้านของชำขนาดย่อม ที่จะทำให้เกิดความอุ่นใจอย่างประหลาด และเป็นความมั่นคงทางใจของฉันเสียยิ่งกว่าการสะสมเงินในกองทุนใดๆ

        ส่วนวันนี้ในโมงยามแห่งการระบาดของไวรัสที่ทำให้คนทั้งโลกสะพรึง ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขออยู่อย่างปริวิตก และถ้าฉันจะต้องตายก็ขอให้ชีวิตทุกวันที่เหลืออยู่เป็นชีวิตที่ ‘ปกติ’ ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และจะไม่ยอมขาดทุนความสุขแม้แต่วันเดียวด้วยการปล่อยให้ความรู้สึกกลัวตายมาบั่นทอนจิตใจ และทำให้ต้องกลายเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง

        ปลดหน้ากาก กินข้าวเยอะๆ วิ่งหาแสงแดด หายใจลึกๆ หัวเราะเสียงดังๆ

        อย่ายอมให้ชีวิตชีวาของเราดับลงในขณะที่ร่างกายยังไม่แตกดับ เพราะนั่นคือการขาดทุน ป้องกันตัวเองจากไวรัสเท่าที่สบายใจแล้วใช้ชีวิตให้เป็นปกติ

 

        ป.ล. รัฐบาลยิ่งเฮงซวย เรายิ่งต้องเข้มแข็ง