อยู่เป็น

เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างไรให้มีความสุข ตอนที่ 2

ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามตาย

        ความเดิมจากตอนที่แล้ว ฉันคิดว่า วัฒนธรรมว่าด้วยความ ‘หว่อง’ ใน pop culture มีส่วนสร้างมายาคติว่าด้วยความไร้สุข หรือชีวิตอันไร้ความหมายของมนุษย์เงินเดือน และในบริบทของสังคมไทย ยุคหลังฟองสบู่แตกในปี 2540 ทำให้คนชั้นกลางที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ จำนวนมากทั้งที่ถูกเลย์ออฟ และทั้งที่ตัดสินใจลาออก พากันไปรกรากอยู่ในต่างจังหวัด ถ้ายังจำกันได้ จุดหมายปลายทางที่ฮอตฮิตที่สุดคือ เชียงใหม่ และเก๋กว่าเชียงใหม่คือ ปาย

 

        ทศวรรษที่ 2540-2550  มีศิลปิน นักคิด นักเขียน นักธุรกิจที่ขายกิจการในกรุงเทพฯ และมนุษย์เงินเดือนจำนวนหนึ่งที่อิ่มตัวกับงานประจำของตนเอง (เพื่อนนักข่าว ช่างภาพ นักผลิตสารคดี ฯลฯ) ต่างพากันย้ายถิ่นฐานมาที่เชียงใหม่ ปาย และเชียงรายกันไม่น้อย โดยในห้วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เริ่มมีกระแสของการออกมาทำไร่ทำนา ทำสวน – การเป็นชาวนา ชาวสวน ถูกนำมาเล่าใหม่ กลายเป็นภาพคนชั้นกลาง กับบ้านสวยสมถะ ชีวิตเรียบง่ายและไร่นาสวนผสมของพวกเขา พร้อมทั้งเรื่องราวการตกผลึกกับชีวิตว่าด้วย… พอกันที ชีวิตในเมืองใหญ่ที่เต็มไปความเครียด และการไล่ล่าหาความมั่งคั่งทางการเงินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

        คงต้องบันทึกเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งการได้เกษียณตัวเองก่อนกำหนดแล้วย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ปาย เชียงราย คือความฝันของมนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลาง

        แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า การลาออก หรือเกษียณตัวเองไปอยู่ ‘ต่างจังหวัด’ และกระแสการเปิดร้านฮิปๆ ที่ปายของคนชั้นกลางนั้นก็มีอายุขัยของมัน คนที่อยู่รอด คือคนที่มี ‘เงิน’ มากพอจริงๆ เพราะการเปิดร้านฮิปๆ หรือการทำไร่นาสวนผสมนั้นไม่อาจยึดเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพได้ มันจะสวยงามและเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นเพียงเครื่องทำแก้เหงา ทำให้ได้ชื่อว่ามีอะไรทำ แล้วมีเงินรองรังไว้ในปริมาณมหาศาลต่างหากถึงจะอยู่ได้ และแม้แต่หลายคนที่มีเงินพอที่จะอยู่ได้ แต่ในทางการงานสร้างสรรค์นั้นค่อยๆ อับเฉา เงียบหาย ไปก่อนวัยอันควร ทั้งๆ ที่เคยมีชีวิตอย่างคึกคัก กระฉับกระเฉง เต็มไปด้วยไอเดียที่พลุ่งพล่าน เหมือนอยู่ๆ ก็กลายเป็นคนแก่ไปในชั่วข้ามคืน

        ในที่สุดเทรนด์ว่าด้วยการออกจากงานประจำแล้วย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดก็ค่อยๆ เสื่อมคลายความนิยมไป

        แต่ภาวะหลอกหลอนของมนุษย์เงินเดือนยังไม่สิ้นสุดแต่เพียงเท่านั้น เพราะทศวรรษที่ 2550-2560 เป็นเรื่องราวว่าด้วย ‘อายุน้อยร้อยล้าน’ สัมพันธ์กับอุตสาหกรรมและรูปแบบของทุนนิยมที่เปลี่ยนไป ภาวะขาลงของอุตสาหกรรมน้ำมัน รถยนต์ และภาคการผลิต ‘สิ่งของ’ ไปสู่ทุนเทคโนโลยีไอที หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ แชริงอีโคโนมี หรือยุคที่เขาเรียกว่า disruption

        มาถึงตอนนี้ความมั่นคงทางใจของมนุษย์เงินเดือนก็ถูกสั่นคลอนอีกครั้งกับคำว่า startup บ้างอะไรบ้าง กับการนั่งดูใครไม่รู้โนเนมมาก หน้าตาก็ธรรมดามาก อยู่ๆ ก็กลายเป็น content creator อยู่ๆ ก็กลายเป็นยูทูเบอร์ ร่ำรวยขึ้นมาซะงั้น อย่าว่าแต่คนเลย หมาแมวยังกลายเป็นยูทูเบอร์มีรายได้หลักล้านไปหน้าตาเฉย หรืออย่างเชยที่สุดที่ต้องผุดเข้ามาในหัวของใครสักคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ก็คือ ทำอย่างไรจะมี passive income เพื่อจะเกษียณอายุตัวเองจากงานประจำได้เร็วขึ้น หรือทำอย่างไรจะไม่ต้องทำงานประจำ แต่มีรายได้พอเลี้ยงตัวเอง และมีเวลาให้ตัวเองไปแสวงหา หรืออยู่กับอะไรที่เป็นแพสชันของตัวเองจริงๆ

        ความฝันที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนจึงมีสองขั้วในยุคนี้คือ

        ขั้วที่หนึ่ง ฝันว่าตนเองสามารถร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้ตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวเฉกเช่น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จากโอกาสทางเศรษฐกิจแบบใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไอที และอุตสาหกรรมสื่อใหม่

        ขั้วที่สอง เฝ้าถามตัวเองว่า ฉันทำงานเก้าโมงถึงห้าโมงเย็นไปเพื่ออะไร บ้าน? รถ? แต่งงานกับใครสักคน? เลี้ยงลูก? แล้วก็ตายไป?

        สำหรับขั้วที่สอง เทรนด์ของไลฟ์สไตล์ที่เข้าซัพพอร์ตความฝันนี้คือ เทรนด์มินิมอลิสต์ ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องมีบ้าน ไม่ต้องมีรถ ผลักดันการสร้างเมืองให้เป็นเมืองแห่งการเดิน การหันหลังให้กับการสร้างสถาบันครอบครัวแบบบูมเมอร์ การหยุดสะสมสรรพสิ่งสมบัติพัสถานไม่ว่าจะถูกหรือแพง การใช้งานโคเวิร์กกิงสเปซที่ทำให้การมีบ้านหรืออพาร์ตเมนต์อันเพียบพร้อมไม่จำเป็นอีกต่อไป การทำงานเยอะๆ การทำงานประจำเพื่อจะมีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีลูก หรือที่อยู่อาศัยแบบ full function ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้า ข้าวของก็มีแต่พอจำเป็น ย้ำว่ามีเท่าที่ต้องใช้จริงๆ

        ถ้าเราใช้ชีวิตมินิมอล – อีกนิดเดียวก็เป็นฤๅษีได้ – แบบนี้ได้จริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความมั่นคงจากงานประจำ สามารถลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ หรือแม้กระทั่งผันตัวไปเป็น digital nomad ครึ่งปีแรกทำงานอยู่ที่บาหลี ครึ่งปีหลังนั่งทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ มีแค่โน้ตบุ๊กกับจักรยานคันหนึ่ง อยู่ที่ไหนก็ได้ ทำงานจากไหนก็ได้  แถมยังสามารถมีไลฟ์สไตล์แบบทำงานครึ่งวัน ดำน้ำครึ่งวัน ปีนเขา หรือปลีกตัวไปเรียนรู้อะไรใหม่ วิถีชีวิตของผู้คน ฯลฯ

        แล้วฝันนี้เป็นจริงได้หรือไม่?

        ตรงนี้ฉันซึ่งใช้ชีวิตเป็นฟรีแลนซ์ตลอดชีวิต คิดว่าตนเองมีความชอบธรรมพอที่จะพูดเรื่องนี้ได้

        ข้อที่ดีที่สุดของการเป็นฟรีแลนซ์คือ อิสระแห่งการเป็น ‘นาย’ ตัวเอง จัดตารางงานตัวเอง บริหารเวลาได้ยืดหยุ่น แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำ และทำยากมากคือ ทำอย่างไรให้มีงานเข้ามาให้ทำสม่ำเสมอจนมีเงินใช้ไม่ขาดมือ

        บอกเลยว่าการเป็นฟรีแลนซ์ วันดีคืนดีถ้างานไม่เข้าติดต่อกันสามเดือน เราจะมีปัญหาการเงินทันที และถามว่าอะไรจะทำให้เรามีงานเข้าอย่างไม่ขาดสาย คำตอบสุดแสนเบสิกก็คือ การทำงานหนัก การมีวินัย ส่งงานตรงเวลา การเติมต้นทุนให้กับเนื้องานของเราอยู่เสมอ เช่น สำหรับการเป็นนักเขียนอย่างฉัน ก็เดินทาง การพบปะผู้คนที่หลากหลาย การได้เจอคนหลายวงการ การผจญภัยในอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งรสชาติของอาหาร การบริโภค ฯลฯ เหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

        ดังนั้น ไอ้ที่คิดว่าจะมีเวลา ‘ว่าง’ บ้างนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็อาจจะไม่มี แถมจะเลือนรางไปเรื่อยๆ ว่าอันไหนคืองานอันไหนคือเวลาส่วนตัวที่แปลว่าพักผ่อน

        การเป็นฟรีแลนซ์เรียกร้องการลงทุนจากตัวเราเองทั้งหมด ค่าน้ำค่าไฟ ค่าหมึกพรินเตอร์ ค่าอุปกรณ์ในการทำงาน เรื่อยไปจนถึงกระดาษ ปากกา การเรียนรู้ การศึกษา ไม่มีใครมาจ่ายเงินค่าเทรนนิง ฝึกอบรม หรืออะไรให้ ดังนั้น ทักษะการบริหารจัดการการเงินจะไม่ง่ายเท่ากับการรู้ว่าสิ้นเดือนจะมีเงินเข้าบัญชีมาเท่าไหร่ และการเป็นฟรีแลนซ์นั้นหมายความว่า ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย สัมพันธ์ผกผันกับอำนาจต่อรอง เช่น ถ้าเราอยากได้เงินจากงานชิ้นนี้ แม้ค่าตัวค่าแรงจะต่ำก็อาจต้องทำ เพราะถ้าเขาไม่จ้างเรา เขาก็ไปจ้างคนอื่นได้

        ที่สำคัญ ฟรีแลนซ์ไม่มีสวัสดิการอะไรมารองรับ โชคดีที่ประเทศไทยมีสามสิบบาทรักษาทุกโรค แต่นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินเกษียณ การชดเชยรายได้ การเก็บออมในยามแก่เฒ่า การจ่ายค่าประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ฯลฯ เป็นเรื่องที่ฟรีแลนซ์ต้องรับผิดชอบด้วยตนเองทั้งหมด และสิ่งที่ต้องคิดให้หนัก และอาจเป็นเรื่องรบกวนจิตอยู่เนืองๆ (หากเราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวเงินถุงเงินถัง) คือถ้าไม่มีงานจะอยู่ได้ไหม และอยู่อย่างไร? 

        สุดท้าย ชีวิตฟรีแลนซ์​อิสรเสรีเหนือสิ่งอื่นใดก็ไม่มีจริง หันมาดูชีวิตดิจิตอลโนแมดหลายคนก็ล้มตาย สูญหาย ไปในห้องเช่ารูหนูที่บาหลี ที่เชียงใหม่ก็เยอะ เพราะงานและเงินมันไม่ได้มาหากันได้ง่ายขนาดนั้น พูดอย่างใจร้ายคือ คนที่เก่งพอจะทำอย่างนั้นได้จริงๆ มีไม่เยอะ

        และสุดท้ายก็มีหนังที่สะท้อนภาวะพังทลายของการเป็นฟรีแลนซ์ออกมา นั่นคือ หนังอย่าง ฟรีแลนซ์.. ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามรักหมอ ซึ่งช่วยดึงสติเราออกมาจากการโรแมนติไซซ์อาชีพฟรีแลนซ์ แล้วบอกว่า

        การมีงานประจำทำคือลาภอันประเสริฐ

        รู้อย่างนี้แล้ว ตอนหน้า อันเป็นตอนจบของซีรีส์นี้ เราจะได้มาหาวิธีเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างมีความสุขกันได้เสียที

 


อ่านบทความ เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างไรให้มีความสุข ตอนที่ 1 ได้ที่ https://adaybulletin.com/know-yuupen-salaryman-and-happiness-1/52766