ในวันที่โลกค่อยๆ มืดลงของ ‘แฮ็ค’ – อังกูร ชายหนุ่มผู้สูญเสียการมองเห็น

หูสำคัญกว่าตา เพราะคุณแกล้งทำเป็นไม่เห็นความเศร้าได้ แต่คุณโกหกเสียงจากหัวใจไม่ได้

          เสียง voice over ของตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง Happy Together ของผู้กำกับ หว่อง กา ไว ลอยขึ้นมา ในขณะที่เรากำลังนั่งคุยกับ แฮ็ค’ – อังกูร ทองสุนทร ซีเนียร์ครีเอทีฟ รายการวิทยุ 103 Like FM ถึงชีวิตของเขาที่ต้องพลิกผัน ในวันที่โลกของการมองเห็นต้องพร่าเบลอไป จนทำให้การฟังกลายมาเป็นวิธีหลักในการใช้ชีวิต เสียงของการสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นจากเสียงที่อยู่ในใจของชายคนนี้

Close Your Eyes | Open Your Ears

“คนทั่วไปมักเข้าใจไปเองว่า คนพิการทางสายตาจะมีประสาทหูที่ดีกว่าคนปกติ ซึ่งเรื่องนี้จริงแค่ส่วนเดียว คนที่การรับฟังเขาดีเพราะเขามีสมาธิ และฝึกฝนการใช้ประสาทสัมผัสส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่น แต่การได้ยินเพียงอย่างเดียวยังทดแทนการมองเห็นไม่ได้ ต้องใช้การสัมผัส การชิม และการได้กลิ่นเข้ามาประกอบด้วย เพื่อนผมที่ตาบอดบางคนก็มีประสาทหูที่ดีมากๆ สามารถแยกเสียงดนตรีออกได้ว่าเป็นโน้ตเพลงอะไร แต่อีกหลายคนที่เขาไม่ได้มีทักษะด้านนี้ การได้ยินของผมจึงไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป ต้องอาศัยการฝึกฝน ทุกวันนี้ผมสามารถฟังเสียงสังเคราะห์จากคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนได้อย่างเข้าใจความหมาย เวลาสั่งงานให้มันอ่านข้อความบนหน้าจอให้ฟัง นั่นเพราะผมใช้เครื่องมือนี้ในการดำรงชีวิต ใช้จนเกิดเป็นความคุ้นเคย เลยทำให้ดูคล่องกว่าคนที่ไม่เคยใช้ ซึ่งถ้าเขามาฝึกฝนก็จะใช้งานได้เหมือนกัน“

Noise Pollution

“มลภาวะทางการได้ยินมีผลกระทบกับผมมาก เพราะผมต้องใช้ประสาทสัมผัสในการฟังมากขึ้น ถ้าไปทานข้าวกับเพื่อน ผมก็อยากรู้ว่าบรรยากาศบริเวณรอบข้างของเราเป็นอย่างไร โต๊ะทางด้านขวามีคนนั่งอยู่หรือไม่ ทางด้านซ้ายมือมีพนักงานอยู่หรือเปล่า สิ่งที่เราได้ยินคือการบอกถึงทิศทาง หรือเป็นการรับรู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน พอต้องไปอยู่ในร้านอาหารที่เปิดเพลงดังๆ เราก็อยู่ไม่ได้ แล้วลองคิดถึงคนที่อยู่ในเมือง อยู่ในที่ที่มีความถี่ของเสียงตลอดเวลาแทบจะ 24 ชั่วโมง ร่างกายของเขาก็อาจปรับตัวได้ แต่ก็ต้องมีบางจังหวะไหมที่เขาจะรู้สึกรำคาญกับมลภาวะทางเสียงที่ต้องเจอ”

Only My Heart is Calling

“เวลานอนคือช่วงที่ผมได้พักหูจริงๆ สำหรับผม นี่เป็นการฟื้นฟูตัวเองที่ดีที่สุดนะ เมื่อพาตัวเองไปอยู่ในที่เงียบๆ ซึ่งก็คือห้องนอนของเรา ผมมีความสบายใจ ได้นั่งคิด นั่งฟังเสียงพัดลม เสียงนก และเสียงลมหายใจของตัวเอง ตอนนี้การฟังสำหรับผมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่มาทดแทนการมองเห็น และเป็นเวลาที่ผมได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง ซึ่งบางครั้งผมก็ได้ไอเดียในการทำงานมาจากเสียงที่ดังออกมาจากความเงียบที่เกิดขึ้นในช่วงที่เราปิดรับทุกอย่าง และอยู่กับตัวเองตอนนั้น”

The Silent City

“กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่เงียบได้ไหม ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่อุดมคติมากๆ ผมโชคดีมากที่บ้านตัวเองอยู่แถวชานเมือง จึงหลีกเลี่ยงความพลุกพล่านได้ แต่ผมก็คิดอยู่เสมอว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหรือมีบ้านที่ติดถนนใหญ่ เขาปรับตัวกันอย่างไร เขารู้สึกเครียดบ้างไหม เพราะตรงนั้นเสียงดังมาก ขนาดตอนที่ผมไปยืนอยู่ตรงสี่แยกอโศก ผมยังรู้สึกว่าอยู่ไม่ไหวเลย ทั้งเสียงคน เสียงรถยนต์ เสียงอะไรก็ไม่รู้ปนกันมั่วไปหมด และถ้าสังเกตกันดีๆ ช่วงสิบปีก่อนหน้านี้รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์จะมีเสียงเครื่องยนต์และเสียงท่อที่ดัง ตอนนี้บริษัทผลิตรถยนต์ได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เครื่องยนต์เงียบที่สุด แต่เราเองนี่แหละกลับไปพยายามแต่เครื่องจูนเครื่องใส่ท่อเพื่อให้รถมีเสียงดัง สร้างมลภาวะทางเสียงให้กับคนที่ไม่ต้องการได้ยิน ถ้ากรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่เงียบได้จริง ผมว่าต้องเริ่มจากจิตสำนึกของคนเมืองทุกคน เหมือนอย่างที่ประเทศญี่ปุ่นที่เขาเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัย ขึ้นรถไฟฟ้าก็จะสร้างเสียงรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด คิดถึงเรื่องของสิทธิมนุษยชนก่อน ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแบบที่เราก็เห็นๆ กันอยู่