ในวันที่คนหนุ่มสาวต่างแสวงหาโอกาสความเจริญก้าวหน้าในเมืองใหญ่ ‘ฝ้าย’ – ลภัสรดา ยศฐา อดีตนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ กลับชวนพี่ชาย ‘เฟม’ – ณัฐดนัย ยศฐา กลับมาทำฟาร์มออร์แกนิกที่เมืองน่านบ้านเกิด ในชื่อ ฟาร์มเฟมฝ้าย ด้วยความเชื่อที่ว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตอาจไม่ได้เกิดจากความสำเร็จในหน้าที่การงานเพียงอย่างเดียว แต่คือการเฝ้าถามหัวใจตัวเองอยู่ตลอดว่า สุดท้ายแล้วเราอยากมีชีวิตแบบไหน และจะทำมันให้เป็นจริงได้อย่างไร
—
HOME SWEET HOME
—
“ความสนใจด้านการทำฟาร์มเริ่มต้นมาจากการที่เราเริ่มหันมากินอาหารมังสวิรัติอย่างจริงจัง จนอยากรู้ว่าผักที่เรากินทุกวันมีที่มาอย่างไร แต่พอเห็นกระบวนการจริงๆ แล้วก็ค้นพบว่าเราแทบจะกินสารเคมีมากกว่าผักเสียอีก จึงไปคุยกับพี่เฟมเล่นๆ ว่า อยากกลับบ้านไปปลูกผักกินเองจัง ปรากฏว่าพี่เฟมเขาก็เห็นดีเห็นงามด้วย เราก็เลยพากันเก็บกระเป๋ากลับบ้าน… ง่ายๆ แค่นั้นเลย” ลภัสรดาพูดอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับพาเราเดินชมสวนสมุนไพรของเธอ
“แต่ไอเดียมันไม่ใช่การกลับมาปลูกผักขายนะ เราแค่อยากกลับบ้าน เพราะเราเคยคุยกันว่ามันเป็นที่ที่เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขที่สุด มีครอบครัว มีคนที่เรารัก บรรยากาศก็ดี เรียกง่ายๆ คือมันลงตัวกับชีวิตเราอยู่แล้ว จะไปหาที่อื่นทำไม”
ภายในฟาร์มเฟมฝ้ายมีทั้งแปลงผักออร์แกนิกนานาชนิด โซนสมุนไพร ไม้เลื้อย ไร่ผลไม้ โรงเพาะไส้เดือน บ่อบัวขนาดใหญ่ และลานสำหรับเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว นกกระจอกเทศ ห่าน หรือแม้แต่จระเข้ เพราะเธอเชื่อว่า ฟาร์มที่ดีจะต้องมีความหลากหลายทางระบบนิเวศ ไม่ใช่แค่การปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์เพียงชนิดเดียว
เธอยังแอบเผยให้เราฟังว่า อีกไม่นานครอบครัวของเธอจะเปิดโฮมสเตย์ขนาดเล็กๆ ในฟาร์มแห่งนี้ เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ รวมถึงมีเวิร์กช็อปและกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำฟาร์มสำหรับผู้ที่สนใจอีกด้วย
“ตอนมาอยู่ที่นี่แรกๆ เราเคยคิดว่ามันจะเป็นที่สุดท้ายของชีวิต แต่เมื่อทำไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าเราขอไม่ปิดกั้นตัวเองดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วชีวิตเรามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ขึ้นอยู่กับว่า ณ ขณะนั้น เรามีความสุขกับสิ่งไหน แต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีความสุขกับที่นี่มากๆ และจะพยายามทำต่อไปให้ดีที่สุด”
—
MY VIEW ON NAN
—
“เดิมทีเมืองน่านเป็นเมืองปิด เพราะมีภูเขาล้อมรอบทุกทิศทาง หากใครจะเดินทางมาก็ต้องตั้งใจจริงๆ เพราะมันไม่ใช่เมืองทางผ่าน สิ่งนี้เองทำให้คนน่านมีวิถีชีวิตของเขา ที่ไม่ได้พึ่งพาอะไรจากคนภายนอกมาก และยังทำให้เอกลักษณ์และศิลปะของเมืองโดดเด่นชัดเจนกว่าที่อื่น
ในฐานะที่เราเกิดและโตที่นี่ เราพูดได้เลยว่าเรารักเมืองนี้มาก เพราะมันเหมาะกับการอยู่อาศัย มีบรรยากาศที่เงียบสงบและผู้คนก็มีชีวิตชีวา สำหรับบางคน เมืองนี้อาจจะเป็นเมืองที่เนิบช้าเกินไปหน่อย เพราะมันไม่ได้มีความเจริญทางวัตถุหรือสิ่งสะดวกสบายมากนัก แต่เราเชื่อว่าถ้าสามารถเปิดใจรับตรงนี้ได้ ก็จะมีความสุขกับการอยู่ที่นี่”